แบรนด์จะไม่ต่าง ถ้าทีมไม่กล้า
นี่คือประโยคเปิดจากเวที Creative Talk Conference 2025 ในเซสชั่น "Think Different Branding Strategy" ที่ได้สองหัวเรือใหญ่ด้านการตลาดอย่าง คุณจักรพล จันทวิมล จาก บริษัท ซีคอน ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ที่เรารู้จักกันดีในชื่อของศูนย์การค้า Seacon Square และ คุณชนินทร์ นาคะรัตนากร จาก Swensen's มาไขความลับเบื้องหลังแคมเปญสุดไวรัลที่ทุกคนต้องพูดถึง
แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้น คือพวกเขาไม่ได้มาเพื่อโชว์ความสำเร็จ แต่มาเพื่อบอกเล่า กระบวนการและวัฒนธรรม ที่ทำให้ทีมกล้าคิด กล้าเสี่ยง และที่สำคัญคือกล้าที่จะ 'ล้มเหลว'
เราไม่ได้กล้าแล้วลงมือทำ แต่เราลงมือทำ แล้วความกล้ามันค่อยตามมา
คุณจักรพล จากซีคอน บอกว่า ความกล้าไม่ใช่ความรู้สึกที่ต้องรอให้เกิด แต่เป็นผลลัพธ์ของการฝึกฝนทำซ้ำๆ จนกลายเป็นนิสัย เมื่อเราไม่กลัวที่จะพลาด เราก็จะกล้าทำทุกอย่าง
ในขณะที่คุณชนินทร์ จาก Swensen's เสริมว่า ความกล้าย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยงเสมอ แต่หน้าที่ของแบรนด์คือการจำกัดความเสี่ยงให้อยู่ในพื้นที่ที่บริหารจัดการได้ ไม่ใช่การเดินหน้าแบบสุ่มสี่สุ่มห้า แต่เป็นการทำ Calculated Risk ที่มีข้อมูลและแผนรองรับที่ยืดหยุ่น
ปรัชญาการทำงานของซีคอนมีสิ่งที่เรียกว่า "Fail More" (พลาดให้เป็นปกติ) ซึ่งไม่ใช่แค่สโลแกนสวยหรู แต่เป็นแคมเปญที่ทำกันจริงจังภายในองค์กร
คุณจักรพลเล่าว่า ในการประชุมรายเดือนของซีคอน ทีมงานกว่า 20 หน่วยงานจะไม่ได้มานำเสนอความสำเร็จ แต่จะมาแชร์กันว่า 'เดือนที่ผ่านมา เราพลาดอะไรกันบ้าง'
"พอทีมพลาดมา เราจะดีใจ 'เย้! มีเรื่องไปคุยในมีตติ้งแล้ว'" คุณจักรพลกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะ
การสร้างวัฒนธรรมเช่นนี้ ทำให้ความผิดพลาดไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือต้องซุกไว้ใต้พรม แต่เป็นบทเรียนที่ทุกคนได้เรียนรู้ร่วมกัน มันคือการสร้างพื้นที่ปลอดภัย ที่ทำให้พนักงานไม่กลัวที่จะลองไอเดียใหม่ๆ เพราะพวกเขารู้ว่าต่อให้ล้ม ก็ยังมีองค์กรรองรับ และทุกคนก็พลาดเหมือนกัน
หลายคนคงเคยเห็นอีเวนต์สุดอลังการของซีคอน ไม่ว่าจะเป็นเรือโนอาห์ขนาดยักษ์, งานนรก, หรือบ่อบอลสีฟ้า ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความบังเอิญ แต่มาจากโมเดลการทำงานที่ชื่อว่า 'ชีคอนเล่นใหญ่ MODEL'
นี่คือ Checklist ที่ทีมงานซีคอนต้องตอบให้ได้ก่อนเริ่มทุกโปรเจกต์
หัวใจสำคัญคือ K.O. Move หรือหมัดน็อค ที่ต้องสร้างความแตกต่างและเป็นที่จดจำ เช่น งานสัตว์เลี้ยงธรรมดาโลกไม่จำ แต่ซีคอนสร้างเรือโนอาห์ขนาดมหึมามาเป็นหมัดน็อคแทนนั่นเอง
ทางฝั่ง Swensen's คุณชนินทร์เล่าว่า กลยุทธ์ของพวกเขาคือการทำ Occasion-based Marketing หรือการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในเทศกาลและวัฒนธรรมของผู้บริโภค เพื่อสร้างโมเมนต์ที่น่าจดจำ
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือแคมเปญตรุษจีน ที่ออกไอศกรีมรูปเป็ดไหว้เจ้า และหัวหมูพะโล้ ซึ่งไม่ได้แค่ว้าว แต่เป็นการเชื่อมโยงคนรุ่นเก่าที่ต้องซื้อของไหว้ เข้ากับคนรุ่นใหม่ที่มองหาสิ่งแปลกใหม่ ทำให้ Swensen's กลายเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำในครอบครัว
แทนที่ป๊าจะไปซื้อของไหว้เหมือนเดิม ลูกอาจจะไปซื้อไอติมเป็ดของเราไปไหว้แทน แล้วมันก็กลายเป็นโมเมนต์ที่คนสองเจนได้มีส่วนร่วมกัน
ในช่วงท้าย มีคำถามที่น่าสนใจเข้ามามากมาย เช่น
Q : ถ้าโดนคู่แข่งลอกเลียนแบบจะทำอย่างไร?
A : คุณจักรพล ตอบว่า "ข้อแรก ยินดีด้วยครับ แปลว่าเราประสบความสำเร็จ" จากนั้นให้กลับไป "ทำในสิ่งที่คู่แข่งไม่ถนัด แต่เราถนัด และลูกค้าต้องการ"
Q : ถ้าเรางบจำกัด แต่อยากเล่นใหญ่บ้าง?
A : คำตอบคือ "อย่าทำ" คุณจักรพลแนะนำว่า "จงหา Angle ของตัวเองให้เจอ" ไม่จำเป็นต้องเล่นใหญ่เสมอไป การเล่นเล็กๆ ในมุมที่แตกต่างก็สามารถสร้างแรงกระเพื่อมได้ ส่วนคุณชนินทร์เสริมว่า พลังของ Partnership คือทางออก คนตัวเล็กหลายคนรวมกันก็สามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
บทสรุปจากเซสชั่นนี้ชัดเจนว่า การสร้างแบรนด์ให้ "แตกต่าง" ในยุคนี้ ไม่ได้วัดกันที่ขนาดของงบประมาณ แต่วัดกันที่ความกล้าของทีม ซึ่งความกล้านั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อองค์กรมี วัฒนธรรมที่พร้อมจะยอมรับ และเรียนรู้จากความผิดพลาดนั่นเอง
อ้างอิง : สรุปจากงาน Creative Talk Conference 2025 ในเซสชั่น "Think Different Branding Strategy"
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด