ไม่นานมานี้ True Digital Academy (TDA) ชวนปลดล็อกทักษะสำคัญแห่งยุค โดยให้ผู้เชี่ยวชาญจากสายอาชีพ AI, Business, Tech และ Data มาแชร์ความรู้บนเวทีเดียวกันในงาน TDA Next 2025 และมีผู้สนใจเข้าร่วมงานเต็มทุกที่นั่ง

งาน TDA Next 2025 จัดขึ้นในธีม 'Prompt Your Future' สร้างอนาคตของคุณในโลกยุคดิจิทัล เพื่อช่วยผู้เข้าร่วมงานเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับอนาคต ซึ่งเต็มไปด้วยความท้าทาย ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรวดเร็วและตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคโนโลยี AI ที่ผู้พัฒนาค่ายใหญ่ๆ อัปเดตเสอรฝ์ขัรกันทุกเดือนแบบไม่มีใครยอมใคร
แต่สำหรับโลกการทำงาน ใช่ว่าทุกคนจะมีทักษะและหลักคิดในการใช้ AI ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และปลอดภัย เทคซอสจึงเลือกสรุปสิ่งที่ คุณต่อ - พุทธศักดิ์ ตันติสุทธิเวท Head of Innovation Advocacy, TISCO นำเสนอบนเวที TDA Next 2025 ในหัวข้อ 'เลือกใช้ AI อย่างไร ไม่ให้เราเป็นคนที่ห่วยลง' และ คุณทอย - กษิดิศ สตางค์มงคล นักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analyst : DA) เจ้าของเพจและเว็บไซต์ DataRockie ขึ้นกล่าวในหัวข้อ 'How to survive The AI Apocalype ให้ Followers เทคซอสได้อ่านกัน
คุณต่อ - พุทธศักดิ์ ตันติสุทธิเวท เปิดประเด็นโดยเกริ่นถึงงานวิจัยของ MIT ที่ว่า เทคโนโลยี AI ทำลายสมองเรา ยิ่งใช้ยิ่งทำให้ Critical Skill ต่ำลง จึงตั้งหัวข้อ 'เลือกใช้ AI อย่างไร ไม่ให้เราเป็นคนที่ห่วยลง' โดยชี้ให้เห็นว่า
"เทคโนโลยีใหม่เกิดขึ้นมา Disrupt ทักษะของเราอยู่แล้ว จากที่มนุษย์ขี่ม้าก็เปลี่ยนมาเป็นใช้รถยนต์ พอทุกคนขับรถเป็น การขี่ม้าก็กลายเป็นกิจกรรมสันทนาการเฉพาะกลุ่ม หรือเมื่อก่อนเราดูแผนที่กระดาษเป็น ทุกวันนี้ก็อาจจะยังเป็นอยู่ แต่ต้องใช้เวลานิดนึง สุดท้าย ก่อนมีโทรศัพท์มือถือ เราจำเบอร์โทรศัพท์พ่อ แม่ เพื่อน 8-9 หลักได้มากกว่า 20 คน แต่เดี๋ยวนี้เมมลงมือถือ ก็เลยจำเบอร์ได้แค่ 1-2 คนเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่คนจะกังวลว่า เราจะแย่ลงเพราะ AI หรือเปล่า นั่นเป็นเพราะ AI ไม่ได้มาแบบทักษะเล็กๆ อย่างการขี่ม้า แต่มีอิมแพ็กต่อ 'ทักษะการคิดของมนุษย์' คนก็เลยรู้สึกกังวลเป็นพิเศษ"

เมื่อ AI มาเร็วและแรงเหมือนรถแข่งใน Formula 1 คุณต่อแนะกฎ 3 ข้อเพื่อเอาตัวรอดในยุค AI ดังนี้
คุณต่อเปรียบเทียบการใช้เครื่องมือ AI กับการเลือกมีด ที่ต้องรู้ก่อนว่า เราต้องการอะไร แล้วค่อยดูว่าควรใช้เครื่องมือทำอะไร (Task) โดยยกตัวอย่างมีดญี่ปุ่นที่ใช้แล่ปลา ก่อนนำมาใช้ก็ต้องรู้ว่า จะหั่น/แล่ปลาอะไร จึงจะเลือกมีดได้ถูกต้อง "ทุกวันนี้มีคนมาถามผมเยอะว่า ใช้เครื่องมืออะไรดี ถ้าใช้ AI อยู่ ก็คงจะเห็นว่าเราอยู่ในวงกตของการเลือก Tool จากยี่ห้อหรือแบรนด์ พอเราใช้ ChatGPT ก็เอ๊ะ....หรือหันไปใช้ Gemini ดี หรือตรงนี้น่าจะใช้ Claude - บอกเลยเราจะอยู่อย่างนี้และมันจะเป็นอย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น เพราะเทคโนโลยียังไม่ถึงจุดสูงสุดของมัน ดังนั้น อย่าบ้าเครื่องมือ ให้โฟกัสที่การนำไปใช้ ว่าจะใช้งานใน Use Case ต่างๆ อย่างไร" คุณต่อกล่าว
ยกตัวอย่างงานที่เราเก่งอยู่แล้ว รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด เพียงแต่อยากนำเวลาไปทำงานอื่นที่สร้างประโยชน์ได้มากกว่า ก็ให้ใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยทำงานซ้ำๆ หรือถ้าเราทำภาพและวิดีโอไม่เป็น ก็ใช้ AI เป็นเครื่องมือสร้างสรรค์ภาพหรือวิดีโอให้ได้ แต่มากกว่านั้น ผู้ใช้งานต้องรู้เบื้องต้นด้วยว่าโมเดลไหน Input ข้อมูลอะไร, ทำได้ละเอียดแค่ไหน, เพดานของมันคืออะไร, Output เป็นอะไรได้บ้าง, อะไรที่ทำไม่ได้, เชื่อมต่อหรืออินทิเกรตกับอะไรได้ จากนั้นคุณต่อบอกสิ่งที่ผู้ใช้งานต้อง 'เข้าใจ' ในโลกการทำงานที่มีทั้งการใช้และไม่ใช้ AI ดังนี้

"อย่าง Gemini เชื่อมต่อกับ Google Drive ก็รู้ได้ว่าสามารถทำ Use Case ผ่านช่องทางนี้ได้ หรือสมมติว่าอยากได้ข้อมูลล่าสุดจากอินเทอร์เน็ต โมเดลที่เลือกใช้อาจเป็น Gemini เพราะมันเชื่อมต่อกับ Google (Search Engine) แต่ถ้าอยากได้ความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดีย ก็อาจเลือกใช้ Grok ที่ Input ข้อมูลจาก X - ที่จะบอกก็คือ เครื่องมือมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ตราบใดที่เราเข้าใจหลักการของเทคโนโลยี เราก็จะเลือกใช้งานได้อย่างถูกต้องมากขึ้น" คุณต่อกล่าว
คุณต่อยกเรื่อง 'การฝึกใช้งานเครื่องมือจนเก่ง' กับ 'การขับรถ' โดยเล่าว่า ตัวเขาเองขับรถมาแล้ว 20 ปี หากถามว่าขับรถเก่งไหม ก็ไม่สามารถตอบได้แน่ชัด เพราะไม่ได้เก่งเท่านักแข่ง Formula 1 ที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก
"สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือ 'ทำ' ไม่เท่ากับ 'ฝึก' เรา 'เล่น AI ทุกวัน' ไม่เท่ากับเรา 'ใช้ AI ทุกวัน' เช่น ถ้าเขียน Prompt เป็นแล้ว แต่ไม่เคยไตร่ตรองว่าจะทำให้ดีขึ้นได้ยังไง อย่างที่ฮิตกัน คนก็อปปี้ Prompt ไปเจนภาพอนุสาวรีย์บน Gemini (Nano Banana) ลองคิดต่อว่า เราจะเจนเป็นอย่างอื่นได้ไหม แล้วฝึกใช้และเรียนรู้ โดยการฝึก คือการคิดว่าเราอยากจะได้อะไร แล้วพยายามปรับปรุงด้วยการ ฝึก Prompt, ฝึกจูน Output ให้ดีขึ้น ซึ่งคำว่า ดีขึ้น ในที่นี้หมายถึง ทำได้อย่างที่ต้องการ ก็จะช่วยให้เราใช้ AI ได้เก่งขึ้น" นอกเหนือจากนี้ คุณต่อยังทิ้งคำถามให้ผู้ฟังนำไปทบทวน ว่าถ้าใช้ AI แล้วได้ผลลัพธ์ไม่ถูกต้อง - ไม่ถูกใจ สิ่งที่ต้องคิดต่อคือ
มาที่ คุณทอย - กษิดิศ สตางค์มงคล นักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analyst : DA) เจ้าของเพจและเว็บไซต์ DataRockie ที่เชื่อในการศึกษาและให้ความสำคัญเรื่องการลงทุนในตัวเอง ขึ้นกล่าวในหัวข้อ 'How to survive The AI Apocalypse เพื่อแนะวิธีเอาตัวรอดในยุค AI ให้แก่ผู้เข้าร่วมงาน TDA Next 2025 ทุกคน
คุณทอยตกผลึกความคิดจากหนังสือที่ได้อ่านและหลักคิดที่ได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ต่างๆ โดยนำเสนอแนวคิดจากการลงเรียนหลักสูตร Systems Thinking ของ eCornell กับหนังสือ Thinking in System: A Primer (2008) ที่ Donella Meadows เขียนเพื่อสอนกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ แล้วสามารถเปลี่ยนปัจจัยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ใหม่ที่ดีกว่าเดิม โดยยกตัวอย่างเฟรมเวิร์ก [Inflow > Stock > Outflow] เช่น น้ำในแก้วที่มีการไหลเข้าและไหลออก ถ้าน้ำไหลในอัตราเดียวกัน น้ำในแก้วก็จะเท่ากัน หรืออัตราประชากรโลก ถ้ามีเด็กเกิดใหม่ทั่วโลกวันละ 1,000 คน แล้วมีผู้เสียชีวิตวันละ 1,000 คน ประชากรโลกก็จะเท่ากันตลอด แต่ความเป็นจริงนั้นไม่เท่ากัน เนื่องจากจำนวนเด็กเกิดใหม่ยังคงเพิ่มขึ้น แต่จำนวนผู้เสียชีวิตน้อยลง เพราะการแพทย์ดีขึ้น อาหารการกินดีขึ้น อายุขัยโดยเฉลี่ยจึงยาวขึ้น
ต่อด้วยเฟรมเวิร์ก [Earn > Money > Spend] โดยเทียบกับการทำงานเพื่อให้ได้เงินมาเลี้ยงชีพ คุณทอยชี้ว่า การทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนในวันนี้ อาจได้ปรับหรือไม่ได้ปรับฐานเงินเดือนในปีหน้า หรืออาจไม่ได้ทำงานต่อ ดังนั้น การทำงานในยุคนี้จึงไม่มีคำว่า ยั่งยืน และไม่เชื่อว่าทำงานประจำแล้วชีวิตจะมั่นคง ดูอย่าง Salesforce ที่ล่าสุดปลดพนักงาน 4,000 คน ดังนั้น คนเราควรมีรายได้จากหลายช่องทาง
"คนใช้ AI เก่งก็ยังมีโอกาสตกงานอยู่ดี เพราะคุณไม่ใช่เจ้าของออฟฟิศ ไม่ใช่เจ้าของบริษัท ไม่มีอำนาจตัดสินใจ" คุณทอยกล่าวเพื่อสร้างความตระหนัก แล้วอธิบายผลกระทบจาก AI ที่ (อาจ) เกิดขึ้นกับคนทำงานว่า
"เทคโนโลยี AI ที่เข้ามาจะทำให้คนทำงานบริษัทอยู่ยากในอนาคต เพราะตอนนี้มันมีระบบคอมพิวเตอร์ทำงานแทนพนักงานบริษัทได้เลย บริษัทไม่ต้องจ่ายเงินให้พวกเราเยอะเหมือนแต่ก่อน หรือเด็กจบใหม่เงินเดือน 20,000 ถ้าใช้ Gemini จ่ายเดือนละ 9,400 บาท เด็กทำงาน 24 ชั่วโมงก็ไม่ได้ แต่คอมพิวเตอร์ทำได้ และมันเก่งขึ้นทุกวัน ภายใน 3 ปี มันสามารถเขียนโค้ด เจนเสียง เจนรูป เจนวิดีโอ และทำงานได้ในระดับ PhD Level แต่ในโลกการทำงาน แค่มันฉลาด ทำงานได้ในระดับปริญญาตรี ผมว่าคนส่วนใหญ่ก็ตกงานกันแล้ว"
"โมเดล AI เช่น ChatGPT, Claude, Gemini, Perplexity มันฉลาดแล้วจะไม่มีทางกลับไปไม่รู้หรือเริ่มจากศูนย์ (The mind once enlightened cannot again become dark) เพราะมันมีสต็อกความรู้ มันจะเก่งขึ้นเรื่อยๆ จะพูด จะมองได้เหมือนเรา และคิดเหมือนเรามากขึ้น ต่างจากมนุษย์ที่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์ กว่าจะพูดได้ กว่าจะมีตรรกะความคิดต้องใช้เวลาเป็น 10 ปี แต่สำหรับคอมพิวเตอร์ อีก 10 ปี น่าไปได้อีกไกล"
คุณทอยยกเรื่อง '3 Body Problem' ที่ฉายทาง Netflix (จากผลงาน The Three-Body Problem นิยายวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับอุบัติการณ์ล้างโลก โดย Cixin Liu) เพื่อส่งต่อประเด็นชวนคิดให้แก่ผู้ฟังว่า เราเป็นเผ่าพันธุ์เดียวในจักรวาลนี้หรือไม่? เหตุใดเราไม่เจอมนุษย์ต่างดาว? การใช้เทคโนโลยีทำให้เรามีชีวิตรอดหรือไม่รอดกันแน่? แล้วอธิบายถึงเหตุผลที่ทำให้มนุษย์อยู่รอดและมีอารยธรรมในวันนี้ เป็นเพราะมนุษย์มี ภาษา (language) ที่ใช้สื่อสารกันได้ แล้ว ภาษาก็สร้างสมอง (Language Creates The Brain) อย่าง LLM (Large Language Model) ที่มีคำว่า Language อยู่ในนั้น เมื่อ AI เรียนรู้จากแพทเทิร์นและเข้าใจภาษามนุษย์ก็สามารถคาดการณ์ Next Word และให้เหตุผล (Reasoning) ได้นั่นเอง
ส่วนมนุษย์มีความสามารถในการเรียนรู้ภาษาตั้งแต่เกิด แต่น่าเสียดายที่วันนี้ มนุษย์เรียนภาษาน้อยลงมากและคนมากมายแทบไม่อ่านหนังสือ บ้างก็บอกว่าไม่มีเวลา แต่กลับมีเวลาจ้องโทรศัพท์ เล่นโซเชียลมีเดียวันละหลายชั่วโมง แล้วคุณทอยก็เล่าถึงภาพยนตร์โฆษณาที่มีผู้หญิงถาม AI ว่า วันนี้ใส่เสื้อตัวไหนดี
"ผมคิดในใจ ขนาดเรื่องใส่เสื้อเป็นเรื่องง่ายๆ ยังต้องถาม AI เหรอ อันนี้คือสิ่งที่ไม่อยากให้ทุกคนเป็นนะครับ เราควรตัดสินใจเรื่องง่ายๆ ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ถาม AI ทุกอย่าง และสำหรับทอย การให้ AI ช่วยเลือกแบบนี้ มองว่าเป็นการใช้ AI ที่ไม่ Make Sense เลย"
คุณทอยเล่าต่อเรื่องที่ได้รับฟังจากอาจารย์ Sean D'Souza ผู้เขียนหนังสือ The Brain Audit ซึ่งเป็นคนอินเดียที่ลี้ภัยไปอยู่นิวซีแลนด์ว่า "รู้ไหม คนอินเดียมีภาษาหลายวรรณะ ภาษาที่คนจนใช้กับภาษาที่คนรวยใช้ มันเป็นคนละคำศัพท์ คลังคำที่คนจนกับคนรวยใช้อยู่คนละ Level เลย ลองคิดดู ถ้าคนนึงรู้ 10 คำ อีกคนรู้ 1,000 คำ ชีวิตใครจะไปได้ไกลกว่ากัน"
แล้วคุณทอยก็ชวนมองกลับมาที่ประเทศไทย ว่าในองค์กรมีคนที่พูดภาษาอังกฤษได้กับคนที่พูดไม่ได้ คำถามคือใครจะก้าวหน้ามากกว่ากัน และเชื่อว่าทุกคนสามารถตอบได้
นั่นเพราะ 'ภาษาสร้างสมอง' แต่ตอนนี้เราแทบไม่เขียน ไม่อ่านทุกอย่างด้วยตัวเองเลย ใช้ Gemini อ่านหนังสือจบใน 10 นาที ประเทศที่เจริญแล้วอย่างอังกฤษ ประชากรอ่านหนังสือน้อยลงมาก ตอนนี้เป็นกันทั้งโลก แต่ถ้าทุกคนอยากอยู่รอด ตื่นเช้ามาอ่านหนังสือทุกวัน เขียนหนังสือทุกวัน ทำสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทำ นี่คือทางรอดครับผม
ผู้สร้าง AI มุ่งสร้าง AI มาชนกับ Best Human คือ สร้างให้เก่งเท่าหรือเก่งกว่ามนุษย์ที่เก่งที่สุด อย่างการเล่นโกะ (หมากล้อม) ที่คอมพิวเตอร์สามารถเอาชนะแชมป์โลกชาวจีนได้ และเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นอีกซ้ำๆ คุณทอยจึงชวนให้ทุกคนเรียนรู้เพื่ออยู่รอด โดยฝากแนวคิดในตอนท้ายว่า ไม่อยากเชียร์ให้ทุกคนเป็น Specialist ในโลกยุคนี้ แต่อยากให้ทุกคนเป็น Generalist เรียนรู้ทุกศาสตร์ที่อยากรู้ เรียนรู้ให้กว้างเข้าไว้เพื่อเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีที่สุด
"เพราะทอยกลัวทุกคนจะถอยหลังกลับไปเป็น AI ลืมความเป็นมนุษย์แล้วไปใช้ชีวิตอย่างหุ่นยนต์ ไม่มีความฝัน ไม่มีความหวัง ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง ทอยจึงอยากให้ทุกคนเลือกทำอะไรด้วยตัวเอง เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปคือ Mass Disruption งานจะหายากขึ้น เงินจะหายากขึ้น ดังนั้นอยากเชียร์ให้ทุกคน 'Work hard for yourself more than you work for your job.' สร้างงานของตัวเอง ทำงานหนักให้ตัวเอง มากกว่าทำงานให้บริษัท"
เทคซอสหวังว่า บทความที่นำเสนอหลักคิดเพื่อการใช้ชีวิตในยุค AI ของ 2 ผู้เชี่ยวชาญด้าน Data ชิ้นนี้ จะทำให้ผู้อ่านหรือผู้ติดตามความเปลี่ยนแปลงในโลกเทคโนโลยี เข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งเห็นมุมที่ไม่เคยมอง และนำแนวคิดที่ถูกต้องเหมาะสมไปปรับใช้ในชีวิตและการทำงานได้ต่อไป
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด