เมื่อพูดถึง ‘ผู้นำ’ ผู้บัญชาการ หรือหัวหน้า หลายคนคงมีรูปแบบผู้นำในอุดมคติที่แตกต่างกันออกไป บางคนชอบผู้นำที่เข้มแข็ง ดุดัน เพราะสามารถควบคุมคนได้ หลายคนชอบผู้นำที่สุขุมแต่ล้ำลึก หลายคนชอบผู้นำที่คิดเร็วทำเร็ว มากกว่าผู้นำที่ก้าวแบบมั่นคงแต่เชื่องช้า
บทความนี้จะเล่าถึงสองผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกธุรกิจยุคนี้ นั่นก็คือ Elon Musk หัวหอกของ Tesla SpaceX และ Twitter กับ Tim Cook CEO ของ Apple ทั้งสองจะมีวิธีจัดการปัญหาในสภาวะวิกฤตอย่างไร แล้วทำไมผู้เชี่ยวชาญถึงบอกให้ CEO เอาอย่าง Tim Cook มากกว่า ?
‘แม้จะเติบโตช้า แต่สามารถวัดผลได้มีประสิทธิภาพกว่า’ เป็นสไตล์ที่นักวิเคราะห์ในอุตสาหกรรมนิยามให้กับ Cook
ท่ามกลางคลื่นยักษ์ของการเลิกจ้างพนักงาน โดยเฉพาะจากบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ ไล่เรียงมาตั้งแต่ Microsoft, Twitter, Meta, Amazon, Alphabet (บริษัทแม่ของ Google) บริษัทเหล่านี้เลิกจ้างพนักงานจำนวนมากในรอบปีที่ผ่านมา แต่ Apple กลับไม่ได้เลิกจ้างพนักงานเลย บริษัทเลือกใช้วิธีลดค่าใช้จ่าย ลดต้นทุนแทน เช่น หยุดจ้างคนเพิ่ม ชะลอการจ่ายโบนัส แม้แต่ตัว Cook เองก็ยังถูกลดเงินเดือนและโบนัส
สาเหตุหนึ่งที่ Apple ไม่ได้เลิกจ้างพนักงานเลยก็เพราะบริษัทไม่ได้มีนโยบายเพิ่มจำนวนพนักงานอย่างเกินความจำเป็นเพื่อตอบรับความต้องการของผู้บริโภคในช่วงโควิดระบาดหนัก ซึ่งต่างกับบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เร่งจ้างพนักงานจำนวนมากตอนนั้น
นอกจากนั้น Apple ไม่เคยมีประวัติการทุ่มเงินลงไปในโปรเจกต์ที่มีความเสี่ยง ต่างกับ Amazon Meta หรือแม้แต่ Microsoft ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่ามาจากนิสัยที่ระมัดระวังในการทำธุรกิจของ Cook
“เขาเป็น CEO ที่มีความปฏิบัตินิยม (ทำอะไรตามสภาพความเป็นจริง ทำอะไรที่ทำได้จริง) มากที่สุดในบรรดา CEO ด้านเทคโนโลยี มันสอดคล้องกับวิธีการจ้างงานของเขา”
“ผมคิดว่าคุณจะเห็นบริษัทประเภทเหล่านั้นเริ่มยอมรับคู่มือ (วิธีการ) ของ Apple ซึ่งคู่มือมันก็แค่ แม้ว่าสิ่งต่าง ๆ จะเป็นไปด้วยดี ไม่ได้หมายความว่าคุณควรจ้างเพิ่ม คุณยังคงต้องรอบคอบกับการใช้จ่าย” Gene Munster Managing Partner ของ Deepwater Asset Management กล่าว
ตั้งแต่ Elon Musk เข้าซื้อ Twitter เมื่อเดือนเมษายนปีที่ผ่านมา เขาใช้วิธีการแบบสุดโต่งในการบริหารกิจการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นการไล่ C-suite ออกทันทีตั้งแต่วันแรกและตั้งตัวเองเป็นผู้อำนวยการเพียงคนเดียวของบริษัท เลิกจ้างพนักงานจำนวนมากแบบไม่แจ้งล่วงหน้าก็มี นอกจากนั้นยังเปลี่ยนโมเดลธุรกิจของ Twitter ด้วย เช่น Twitter Blue เพื่อหารายได้จากการเก็บค่าสมาชิก แลกกับการได้ติ๊กถูกสีฟ้า
ไม่พอแค่นั้น หลังเข้ามาบริหารได้ไม่นาน Musk ก็เล่นส่งข้อความบอกให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศทันที ใครที่ทำไม่ได้ก็ให้ถือว่าลาออก และส่งอีเมลไปหาพนักงานตอนเที่ยงคืน โดยมีใจความสำคัญว่าให้ทำงานแบบ ‘Extreme Hardcore’ เพื่อสร้างความก้าวหน้าให้ Twitter ยุค 2.0 เมื่อไม่นานที่ผ่านมานี้ไล่พนักงานผ่าน Twitter ก็มี
เรื่องวุ่น ๆ ทั้งหมดนี้ตามมาด้วยกระแสความไม่เชื่อถือจากทั้งผู้บริหารระดับสูงที่ทยอยกันลาออก พนักงาน ผู้ใช้งาน และลูกค้าของ Twitter เอง เรียกได้ว่าต้องเผชิญทั้งวิกฤตการเงิน วิกฤตศรัทธารอบด้าน
อ่านบทความ : ในวันที่ Twitter อาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แนะนำวิธีปกป้องบัญชี : https://techsauce.co/saucy-thoughts/how-to-prepare-account-when-twitter-still-in-chaos
"CEO ทุกคนใน Silicon Valley ต่างมองดูสิ่งที่ Elon Musk ทำ และถามตัวเองว่า พวกเขาจำเป็นต้องปลดปล่อย Elon Musk ในตัวพวกเขาหรือไม่ มันอาจจะดูเป็นวิธีการที่ผิดปกติ แต่คุณไม่สามารถดูเบาสิ่งที่ Musk กำลังทำ แน่นอนโมเดลการบริหาร Twitter ที่ Musk กำลังทำมันสุดโต่ง แต่เป็นสิ่งที่ทั้งอุตสาหกรรมกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะหาก Musk ทำสำเร็จ มันจะกลายเป็นแม่แบบให้ CEO หรือนักลงทุนคนอื่น ๆ ทำตาม Marc Benioff CEO ของ Salesforce กล่าวกับ Insider
หากเรามองที่กลยุทธ์ของทั้ง Musk และ Cook ทั้งสองคนก็ไม่ได้ต่างกัน แต่ผู้บริหารสามารถเรียนรู้วิธีการจาก Cook ได้ ในยามวิกฤต ความรอบคอบและหลักปฏิบัตินิยม ยังคงใช้ได้เสมอ หมายความว่าเมื่อสถานการณ์เลวร้าย เมื่อเกิดวิกฤต คุณไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการก้าวร้าวไร้ความปราณีแบบ Musk
Musk เป็นหัวหน้าที่แพรวพราวโดดเด่น ทุกคนรู้ดีว่าเขาทะเยอทะยานและชอบตั้งเป้าหมายที่เป็นไปไม่ได้ และผลักดันลูกทีมอย่างหนักให้ไปให้ถึงเป้าหมายนั้น เหมือนที่เขาทำกับทั้ง Tesla และ SpaceX ในทางตรงกันข้าม แนวทางของ Cook กับการบริหาร Apple มักถูกอธิบายว่า "เน้นทำได้จริงในทางปฏิบัติ" และ "ไม่ชอบความเสี่ยง"
เราลองดูด้านนโยบายให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศ เพราะ ทั้ง Twitter และ Apple ก็ต่างต้องการให้พนักงานกลับเข้ามาทำงานที่สำนักงานเช่นเดียวกัน แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าแนวทางของ Cook จะส่งผลเสียต่อความสุขของพนักงานและวัฒนธรรมองค์กรไม่เท่ากับของ Musk (พูดง่ายๆ ก็คือแนวทางของ Musk จะส่งผลเสียมากกว่า)
Anna Tavis ศาสตราจารย์จาก NYU School of Professional Studies กล่าวว่า Musk ทำลายความเชื่อใจระหว่างพนักงานด้วยวิธีที่รุนแรง และทุกครั้งมีแต่จะทำให้สถานการณ์แย่ลง เพราะไม่ชัดเจน หุนหันพลันแล่น ทำอะไรตามอารมณ์ความรู้สึก
ในอีกทางหนึ่งเธอกล่าวว่า Apple มีแนวทางที่รอบคอบเสมอ ถึงแม้จะมีแรงกดดันจากพนักงานที่ไม่ต้องการกลับเข้าออฟฟิศ แต่ก็ยังน้อยกว่ามากหากเทียบจากแรงกดดันที่มาจากการเลิกจ้างพนักงาน เธอยังทิ้งท้ายว่า Apple จะรักษาวัฒนธรรมของตนได้ดีกว่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เหล่านี้หลายแห่ง แม้จะเปลี่ยนไปจากเมื่อ 3-4 ปีก่อน ซึ่งบางอย่างเป็นผลจากความพยายามลดต้นทุน
สำหรับผู้เขียน บทความนี้ไม่ได้ต้องการโจมตี Elon Musk เราเชื่อว่าด้วยบุคลิกและการตั้งฝันที่ดูเป็นไปได้ยากแบบ Musk นี่แหละจะช่วยสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้กับโลก เหมือนที่เขาทำอยู่กับ Tesla และ SpaceX ผู้บริหารแต่ละคนก็มีแนวทางการจัดการวิกฤตที่ต่างกันออกไป แนวทางของ Cook อาจจะดูเบาไปก็ได้สำหรับบางองค์กรที่ต้องการเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันทันด่วน แต่สิ่งหนึ่งที่เราคิดว่าผู้บริหารทุกคนควรมีคือ Empathy คุณต้องเข้าอกเข้าใจหรือพยายามทำมัน กับทั้งตัวคุณเอง เพื่อนร่วมงาน ลูกค้าด้วย เพราะมันเป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันในสังคม
อ้างอิง : Business Insider
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด