โลกทำหน้าที่เป็น ‘เดอะแบก’ สารพัดมลภาวะ โดยเฉพาะคาร์บอนที่สะสมมาอย่างยาวนานจากการดำเนินกิจกรรม/กิจการต่างๆ ทั่วโลกจนก่อเกิดเป็น ก๊าซเรือนกระจก (GHG : Greenhouse Gas) ซึ่งถ้าดูจากค่าเฉลี่ยในระดับโลก พบว่ามีการปล่อย GHG ปีหนึ่งเกือบ 50,000 ล้านตัน! มากขนาดนี้แล้วชาวโลก-ชาวเราจะอยู่ร่วมกันโดยมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้อย่างไร ที่ประกาศผ่าน COP27 ว่าแต่ละประเทศจะร่วมลดการปล่อยคาร์บอนเท่านั้นเท่านี้ จะทำได้จริงตามระยะเวลาที่ระบุไว้หรือ?
เฉพาะประเทศไทย มีข้อมูลว่าปล่อย GHG ราวปีละ 372 ล้านตัน โดย ภาคพลังงาน ปล่อยคาร์บอนมากที่สุด (กว่า 70%) ตามมาด้วย ภาคคมนาคม ภาคอุตสาหกรรม และ ภาคเกษตร
เพื่อให้เข้าใจและลงลึกถึงสถานการณ์ปัจจุบันในการขับเคลื่อนประเทศไทยเข้าสู่สังคมไร้คาร์บอน (decarbonization) และบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission จึงเกิดความร่วมมือจากหลายองค์กรทั้งรัฐและเอกชน จัดงาน Decarbonize Thailand Symposium 2022 ขึ้นในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยทีมเทคซอสเลือกสรุป Key messages สำคัญจาก 2 ผู้ร่วมเสวนา : คุณเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ และศาสตราจารย์ ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล ในหัวข้อ ‘From 350 million tons to Zero: Where are we now and where are we going?’ (จากคาร์บอน 350 ล้านตัน มุ่งสู่การปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์: ตอนนี้เราอยู่ตรงไหนและจะเดินไปทางไหน?) โดยวิทยากรจากองค์กรที่เป็นหัวหอกด้านการใช้พลังงานมาร่วมวงพูดคุยในหัวข้อนี้ ได้แก่
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็น Issue สำคัญในเวลานี้ ซึ่งต้องยอมรับว่า ไทยเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่พึ่งพา 'การส่งออก' เป็นหลัก เมื่อกติกาของโลกคุยกันเรื่อง Climate Change เราก็หลีกเลี่ยงไม่ได้
คุณเกรียงไกรเกริ่นถึงภาคอุตสาหกรรมว่า แม้อุตสาหกรรมในไทยไม่ได้สร้างคาร์บอนเท่าภาคส่วนอื่น แต่ก็ต้องปรับตัวเสมอมาเพราะเจอความท้าทายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น
อย่างไรก็ดี หลังการประชุม COP26 และ COP27 คุณเกรียงไกรระบุชัด ทำให้ผู้นำประเทศต่างๆ ทั่วโลกรับรู้ร่วมกันว่า “ถ้าปล่อยให้โลกเป็นแบบนี้ต่อไป เจ๊งหมดแน่นอน” ดังนั้น สิ่งที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกต้องทำก็คือ ร่วมลดการปล่อยคาร์บอนลง 40% ภายในปี 2030 ทำให้มีความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และทำให้การปล่อย GHG เป็นศูนย์ภายในปี 2065
ส่วนแนวทางหรือมาตรการที่ออกมาเพื่อขับเคลื่อนการลดคาร์บอน คุณเกรียงไกรยกตัวอย่าง CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป เพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเข้าไปใน EU ซึ่งนี่เป็นมาตรการกีดกันทางการค้ารูปแบบหนึ่ง และถ้าอุตสาหกรรมในไทยไม่ทำตามมาตรการนี้ก็จะตกที่นั่งลำบาก
ถามว่าไทยไม่ทำได้ไหม…ก็ได้ ถ้าเรายังใช้พลังงานสกปรก ใช้พลังงานฟอสซิลแบบเดิม ไม่ได้ใช้พลังงานสะอาด การส่งออกคงลำบาก เพราะการส่งออกของไทยมีสัดส่วน GDP มากถึง 60% เราก็จะโดนตัดแต้ม โดนขึ้นภาษี อะไรต่างๆ ก็แข่งกับเขาไม่ได้
ในด้านนโยบายหลักที่สภาอุตสาหกรรมฯ มุ่งขับเคลื่อนเพื่อให้ทั้งภาคอุตสาหกรรมเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว สะอาด และยั่งยืน (Green - Clean - Sustainability) คุณเกรียงไกรเรียกว่า Next-GEN Industries หรือ อุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยมี 3 แกนหลัก ได้แก่
12 S-curves (การสนับสนุนกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่)
BCG Model (โมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียน)
Climate Change (การพัฒนาแพลตฟอร์มซื้อขายคาร์บอนเครดิต)
หากดูในรายละเอียด ทั้ง 3 ข้อเป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมด คือ การใช้พลังงาน การรักษ์โลก การทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งเกี่ยวกับวัสดุ ขยะ การใช้พลังงาน และจัดตั้ง สถาบัน Climate Change เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจแก่บรรดาสมาชิกก่อน ว่าอะไรคือ Climate Change อะไรคือ แนวทางลดคาร์บอน ทั้งยังจัดทำ ‘แพลตฟอร์มคาร์บอนเครดิต’ ให้ 45 กลุ่มอุตสาหกรรมในปัจจุบันและอุตสาหกรรมใหม่อีก 10 กลุ่ม เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ขายคาร์บอนเครดิต และจะยกระดับการซื้อขายคาร์บอนเครดิตของไทยให้อยู่ในระดับสากลต่อไป
รู้หรือไม่ - สินค้า 5 กลุ่มแรกที่ EU ระบุว่า มีความเสี่ยงสูงต่อการรั่วไหลของคาร์บอนสูง ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า ซีเมนต์ กระแสไฟฟ้า ปุ๋ย และอลูมิเนียม
ในด้านการผลิตและใช้พลังงานเพื่อให้เกิดความยั่งยืน ศาสตราจารย์ ดร. พิสุทธิ์ สรุปให้เห็นชัดๆ 5 หมุดหมายสำคัญซึ่งเรียกได้ว่าเป็นแนวทางหลักที่ประเทศไทยต้องทำ ดังนี้
ผลิต RE เยอะๆ เดี๋ยวจะโอเค แต่ถ้ามีสตาร์ทอัพหรือมีคนทำฝั่ง EE ด้วย จะเป็น Great opportunities โอกาสที่ดีมากๆ เช่น จากที่ขับรถ 10 กม. คาร์บอนที่ปล่อยออกมาอาจเหลือเท่าการขับ 2-3 กม. หรือเป็นศูนย์ ถ้าเป็น Green RE จริงๆ
"กระทรวงพลังงานเองก็พยายามศึกษาโอกาสรอบประเทศไทย เพราะว่ามีจุดที่อาจสามารถกักเก็บคาร์บอนได้บ้าง ในเมื่อเรานำก๊าซออกมาใช้ได้ เราก็ต้องมีทางเก็บกักได้เหมือนกัน" ศาสตราจารย์ ดร.พิสุทธิ์ชี้ให้เห็นโอกาสของประเทศไทยที่ไม่ควรมองข้าม
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด