ปีนี้ Techsauce ได้นำเสนอบทความเกี่ยวกับ Blockchain ให้ผู้อ่านได้ติดตามกันไปพอสมควร คำถามคือ ตอนนี้เราอยู่ไหนกันแล้ว และเรารู้สิ่งที่เราไม่รู้แล้วหรือยัง
สิ่งที่เรารู้แล้วและยังไม่รู้เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในโลกแห่งความเป็นจริง ตลอดจนความเป็นไปได้ในเชิงประสิทธิภาพ
บทวิเคราะห์นี้เขียนโดยนาย William Mougayar ผู้เขียนหนังสือ "The Business Blockchain" รวมทั้งเป็นบอร์ดที่ปรึกษาและนักลงทุนในโปรเจ็คบล็อกเชนและสตาร์ทอัพหลายๆ โปรเจ็ค
...ความรู้ตัวถือเป็นความผาสุกทั้งในชีวิตและธุรกิจ อย่างหนึ่งที่แน่ๆ คือยิ่งเรารู้เท่าทันตัวเองมากเท่าไหร่เราก็ยิ่งปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้นเท่านั้น บล็อกเชนเองก็ไม่ต่างกัน ด้วยความที่เป็นปัจเจกในตัวมันเอง จักรวาลแห่งบล็อกเชนจึงยังคงเต็มไปด้วยสิ่งที่บิดเบือนไปจากความเป็นจริง
เพื่อเป็นการเปิดซีรีย์ส่งท้ายปีชุดนี้ ผมจะพยายามนำเสนอประเด็นความจริงอย่างเป็นกลาง ว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหนกันแล้วในวิวัฒนาการแห่งบล็อกเชน ดังเช่นคำถามง่ายๆ แต่น่าคิดที่ผมถามข้างต้น: ขณะที่กำลังจะเข้าสู่ปี 2017 เรารู้สิ่งที่ยังไม่รู้เกี่ยวกับบล็อกเชนแล้วหรือยัง
นี่ไม่ใช่การคาดคะเนแต่เป็นเพียงการสะท้อนมุมมอง
และเพื่อตอบคำถามข้างต้น ผมจะพูดเน้นในบางจุดควบคู่กับการแบ่งหัวข้อออกเป็นสองมิติหลักๆ คือเชิงแนวคิดและเชิงกลวิธี
[toc]
ลองเลือกทฤษฎีวงจรที่คุณชอบมาครับ จะวงจร Hype Cycle ของ Gartner ทฤษฎีการพัฒนาทางเศรษฐกิจของ Carlota Perez หรือจะทฤษฎีการก้าวข้ามจุดเปลี่ยนผ่านจากหนังสือ Crossing the Chasm ของ Geoffrey Moore ก็ได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรากำลังอยู่ในช่วงปีเริ่มต้น ของทุกวงจรที่กล่าวมานี้ แต่ว่ามันตรงไหนกันแน่ล่ะ?
เมื่อไหร่บล็อกเชนจะเริ่มเข้ามามีบทบาทในแง่ของผู้ใช้ ความหลากหลายในการใช้งาน เสถียรภาพ และรูปแบบการเจริญเติบโตที่คาดเดาได้ จากมุมมองของผม เรายังไม่ก้าวข้ามจุดเปลี่ยนผ่านครับ ยังไม่ถึงช่วงที่เทคโนโลยีถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวาง ยังไม่ผ่านจุดสูงสุดของความคาดหวังอันฟุ้งเฟ้อด้วยซ้ำ
ถ้าจะพูดให้ชัดเจนขึ้นคือตัวเราอยู่ตรงไหนกันแน่นั้นมองเห็นได้แค่จากกระจกมองหลัง เมื่อเรามีโอกาสมองย้อนกลับไปเท่านั้น ระหว่างนั้นเราก็ยังคงต้องกรุยทาง ฝ่าฟันอุปสรรค และลุกขึ้นยืนให้ได้ทุกครั้งที่ล้มกันต่อไป
ถ้าอินเทอร์เน็ตคือต้นเค้าแห่งประวัติศาสตร์ของบล็อกเชน ปี 2000 ก็นับเป็นช่วงเวลาที่เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญมากเพราะมันลบล้างความเชื่อปลอมๆ ของคนออกไป ปรับทัศนะความคาดหวัง และเปิดโอกาสให้คนที่ใจนิ่งกว่าเข้ามามีบทบาทในวาระใหม่และการเริ่มต้นใหม่หลังการเปลี่ยนแปลง
อินเทอร์เน็ตยุคใหม่ถูกขนานนามว่า Web 2.0 และเริ่มปรากฏโฉมราวปี 2003 นำมาซึ่งความรุ่งเรืองและการเติบโตอย่างยั่งยืนจนถึงปัจจุบันของระบบเว็บนับตั้งแต่บัดนั้น เมื่อมองย้อนกลับไป นั่นคือราว 7 ปีให้หลัง หลังจากที่ระบบเว็บเริ่มปรากฏโฉมครั้งแรกในปี 1993
สำหรับบล็อกเชนบางคนเริ่มใช้ชื่อที่เรียกว่า Crypto 2.0 กันแล้ว ทว่านั่นน่าจะเป็นชื่อเล่นที่เร็วเกินไปสำหรับช่วงชีวิตของบล็อกเชนที่เราอยู่กันในขณะนี้
ผมมั่นใจเหลือเกินว่าเรายังอยู่กันในช่วงแสวงหาประโยชน์จากยุค Blockchain 1.0 หรืออะไรทำนองนั้น ถึงแม้วิวัฒการของมันจะมีความต่างจากเว็บอยู่เล็กน้อย บางทีคงมีแค่จุดแตกหักที่แท้จริงเท่านั้น ที่จะเขย่าวงการได้แรงพอและทำให้ประตูที่เปิดสู่ยุค Blockchain 2.0 กลายเป็นรูปธรรมขึ้นมาได้
เรารู้กันหรือยังว่าบล็อกเชนสามารถนำไปใช้ตรงไหนได้และตรงไหนไม่ได้ อะไรจะทำได้จริงและอะไรบ้างที่ไม่มีวันเป็นไปได้ คำตอบคือเราไม่มีทางรู้แน่ชัดนอกจากจะต้องผลักดันกันต่อไป ต้องพยายามก้าวข้ามขีดจำกัดเพื่อหาคำตอบว่าขอบเขตที่แท้จริงแล้วอยู่ตรงไหน
ผมเห็นหลายกรณีที่มีการคิดนำบล็อกเชนเข้ามาใช้ แต่ดูเหมือนมันจะเป็นคำตอบที่รอเก้อ เมื่อแท้จริงแล้วคำถามไม่ได้อยู่ตรงนั้น
ยกตัวอย่างเช่นในแวดวงสุขภาพซึ่งถูกมองว่าเหมาะกับการนำบล็อกเชนเข้ามาใช้มากที่สุด ทว่าเรากลับยังไม่เคยเห็นความก้าวหน้าที่เป็นรูปธรรมหรือการนำบล็อกเชนมาประยุกต์ใดๆ เลย พูดให้เจาะจงขึ้นไปอีกคือผมได้ยินบ่อยๆ ว่าบล็อกเชนจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเรื่องการถ่ายโอนข้อมูล ประวัติการรักษาของผู้ป่วย แต่ประเด็นเล็กๆ ที่หลายฝ่ายตระหนักดีก็คือการแก้ปัญหาประวัติการรักษาที่ว่า ยังมีประเด็นซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับบล็อกเชนที่ต้องถูกสะสางก่อนรออยู่
องค์กรอัตโนมัติกระจายศูนย์หรือ DAOs (Decentralized Autonomous Organizations) ทำให้หัวคิดแบบสมัยเก่าของเราเกิดคำถามเกี่ยวกับการบริหารองค์กรขึ้น แต่เรายังไม่อาจรู้ได้ว่าแนวคิดระยะเริ่มแรกเหล่านี้จะสามารถแทรกซึมเข้าไปสู่องค์กรแบบดั้งเดิมใดๆ
ได้หรือไม่ หรือพวกมันจะอยู่แค่ในขอบเขตธุรกิจที่เกิดขึ้นบนบล็อกเชนเป็นหลักเท่านั้น
แนวคิดขององค์กรกระจายศูนย์ที่ผูกกับเทคโนโลยีบล็อกเชนจะมีอิทธิพลกับการจัดการธุรกิจหรือไม่ ที่ระดับใด จริงอยู่ที่เรายังคงไม่เห็นภาพระบบบริหารจัดการด้วยบล็อกเชนแบบเบ็ดเสร็จ แต่เราต้องการตัวอย่างในยุคเริ่มแรกเหล่านี้เพื่อเป็นต้นแบบว่าธุรกิจควรมีการดำเนินการอย่างไร ระบบบริหารจัดการอัตโนมัติกับการดำเนินงานอัตโนมัติเป็นคนละเรื่องกัน แต่ในทั้งสองกรณี เราต่างต้องการประสบการณ์ที่มากขึ้นในการสร้างต้นแบบและดำเนินงานทั้งสองระบบควบคู่กันไป จนกว่าจะหาคำตอบที่ชัดเจนได้ว่าองค์กรธุรกิจจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด
เรายังไม่อาจรู้ครับ ในเชิงเปรียบเทียบ ในประเทศที่พัฒนาแล้วเศรษฐกิจบนอินเทอร์เน็ตช่วยส่งเสริม GDP ของชาติได้ตั้งแต่ 5-12 เปอร์เซ็นต์ และนั่นคือความสำเร็จภายหลังระบบเว็บเกิดขึ้นแล้วถึง 23 ปี
จริงอยู่บริษัทที่ดำเนินงานด้วยสกุลเงินดิจิทัลได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว แต่จะเป็นอย่างไรถ้าพูดถึงผลกระทบรวมในแง่การสร้างความมั่งคั่งจริงให้กับประเทศ ระบบอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจ เรารู้ว่ามูลค่ารวมของสกุลเงินดิจิทัลที่ลอยอยู่ในท้องตลาดจะอยู่ที่คร่าวๆ ประมาณ 15,000 ล้านเหรียญเมื่อจบปี 2016 แต่นั่นก็เป็นแค่มาตรวัดในเชิงปริมาณที่สัมพันธ์กับการสร้างความมั่งคั่งเท่านั้น
เศรษฐกิจในเชิงดิจิทัลนี้จะดำเนินรอยตามเศรษฐกิจระบบเว็บ ด้วยการกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่สร้าง ความเข้มแข็งให้ระบบเศรษฐกิจใหญ่ได้หรือไม่? ผมเองก็หวังเป็นอย่างยิ่งครับ แต่ตอนนี้เรายังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นของวิวัฒนาการเท่านั้น
คนเราจะมีกี่อัตลักษณ์บนบล็อกเชนนับว่าเป็นคำถามที่น่าสนใจ หนึ่งในคำตอบที่ดูเป็นไปได้คือ เราจะมีอัตลักษณ์บนบล็อกเชนเทียบเท่ากับจำนวนการ์ดที่อยู่ในกระเป๋าสตางค์จริงๆ บวกกับจำนวนอัตลักษณ์ออนไลน์ที่เคยสร้างขึ้นทั้งหมด ทั้งนี้เพราะว่าอัตลักษณ์บนบล็อกเชนคือการนำอัตลักษณ์ในโลกจริงเข้ามาสู่โลกออนไลน์ เพื่อความเป็นไปได้ในการผสานปัจจัยความน่าเชื่อถือระหว่างสองขอบเขตกึ่งเสมือนจริงนี้
อัตลักษณ์บนบล็อกเชนเป็นเหมือนคำมั่นสัญญาซึ่งทำให้เราสามารถบริโภคบริการที่หลากหลายบนพื้นฐานที่สามารถเชื่อถือได้ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องแสดงตัวตนทางกายภาพ อย่างเช่นการออกเสียงเลือกตั้งทางไกล เป็นต้น
แอปพลิเคชันอะไรจะเป็นไม้ตายสำหรับอัตลักษณ์บนบล็อกเชน: แอปเลือกตั้ง แลกเปลี่ยน โซเชียลเน็ตเวิร์ค ร้านค้าออนไลน์ แอปบริการผู้บริโภค หรือว่าอื่นๆ สุดท้ายแล้วเราจะมีอัตลักษณ์มากมายหรือเพียงแค่หยิบมือ การเชื่อมโยงตัวตนเหล่านี้จะเป็นแค่สายใยที่เพ้อฝันหรือว่ามันจะมีคุณค่าขึ้นมาจริงๆ
มีความคาดหวังที่สูงมากเกี่ยวกับระบบสัญญาอัจฉริยะบนบล็อกเชน คู่สัญญาจะสามารถจ่ายเงิน เปลี่ยนแปลงเงื่อนไข และประกาศการตัดสินใจได้จริงหรือไม่ บางทีอาจง่ายกว่าที่จะทำกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันให้กลายเป็นรูปของโค้ดและเราควรจะเริ่มจากตรงนั้น แทนที่จะร่างกฎหมายขึ้นมาใหม่ แถมพยายามเขียนให้กลายเป็นโค้ดทั้งที่มันยังไม่ได้รับการรับรอง
สัญญาอัจฉริยะจะสามารถควบคุมการดำเนินงาน การตัดสินใจ ผู้ถือหุ้น รวมถึงทิศทางในอนาคตของบริษัทได้หรือไม่ เราต้องระมัดระวังและไม่เร่งรัดในการนำมันมาใช้ ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจถึงนัยแฝงของข้อบกพร่องที่อาจเกิดขึ้นได้โดยสมบูรณ์
จากกรณี การพุ่งทะยานและดิ่งลงเหวของ DAO ที่ถูกกล่าวถึงอย่างหนาหู มีการใส่ระบบอัตโนมัติลงในสัญญาอัจฉริยะซึ่งเปรียบเสมือนลูกนกที่เพิ่งหัดบินมากจนเกินไป ผลคือระบบดำเนินการกลับตาลปัตรแบบที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้ด้วยมือมนุษย์ (ยกเว้นด้วยการใช้ hardfork)
ความเป็นอัตโนมัติดูเหมือนจะเป็นเป้าหมายอันดื้อรั้นของ DAO เหล่าวิศวกรผู้แสนกระตือรือร้นทั้งหลายต้องการจะใส่พลังลงไปในสัญญาอัจฉริยะที่พวกเขาสร้างขึ้น เพียงเพราะตอนนี้ทั้งเงิน กฎเกณฑ์ทางธุรกิจ ความรับผิดชอบ และอำนาจการตัดสินใจสามารถนำมายำรวมกันเป็นโปรแกรมขนาดมหึมาได้แล้ว
เราจะได้เห็นอะไรที่เหมือนหัวหน้าใหญ่ของสัญญาอัจฉริยะซึ่งออกมาเพื่อควบคุมสัญญาอัจฉริยะอื่นๆ อีกทีหรือไม่ ภาษา Turing เหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างสูงสุดหรือเป็นเพียงจุดอ่อน ของสัญญาอัจฉริยะกันแน่
เมื่อกล่าวถึงการเจาะระบบความปลอดภัยซึ่งเกี่ยวข้องกับบล็อกเชนที่ยังดำเนินการอยู่ (เช่น DAO หรือ Bitfinax ยกตัวอย่างเฉพาะสองเคสล่าสุดที่เห็นได้ชัด) คำถามหลักเบื้องต้นที่สำคัญที่สุดคือ: ท้ายที่สุดแล้วเราจะเห็นระบบความปลอดภัยของบล็อกเชนเป็นของตาย เช่นเดียวกับที่เห็นความปลอดภัยระดับธนาคารเป็นของตายหรือเปล่า หรือนี่ยังเร็วไปมากเมื่อเทียบกับวงจรชีวิตของบล็อกเชนที่เราจะคาดหวังความยืดหยุ่นทางความปลอดภัยอย่างเต็มรูปแบบ
ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่คาดหวังให้ความปลอดภัยของบล็อกเชนเทียบเท่ากับสิ่งที่เรียกกันติดปากว่า “ความปลอดภัยระดับธนาคาร” แม้วันนี้เราจะยังไปไม่ถึงจุดนั้น อย่างไรก็ตามเราไม่ควรลืมว่าธนาคารจริงๆ เองก็มีประวัติศาสตร์การถูกโจรกรรมมาอย่างโชกโชน เริ่มตั้งแต่สมัยปี 1800 ในยุค Wild West ในสหรัฐฯ แถมยังคงมีการโจรกรรมธนาคารที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขโมย เจาะระบบ และบุกปล้นอย่างอุกอาจที่มีมาจนถึงทุกวันนี้
ท้ายที่สุดแล้วความไม่มั่นคงต่างๆ ของระบบรักษาความปลอดภัยของบล็อกเชนควรจะต้องกลายเป็นอดีต เพราะความปลอดภัยนับเป็นปัจจัยที่สำคัญมากหากบล็อกเชนต้องการจะเติบโตในอนาคต
เป็นคำถามที่ถูกสงสัยเข้ามามากเหลือเกิน และเป็นสิ่งที่เราแทบยังไม่เข้าไปแตะหรือคาดหวังจะหาคำตอบที่ทะลุปรุโปร่งได้ในปี 2017
รวมถึงคำถามอื่นๆ อย่างเช่น: จะมีวิธีพื้นฐานใดที่เราจะเข้าถึงข้อมูลที่อยู่นอกห่วงโซ่ได้หรือไม่ องค์กรแบบกระจายศูนย์จะกู้ความน่าเชื่อถือคืนมาในสายตาของหน่วยบริการแบบรวมศูนย์ได้ไหม บล็อกเชนหลายๆ ตัวจะทำงานร่วมกันที่ระดับการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ได้หรือจะต้องใช้ตัวเชื่อมอื่นๆ อย่างไร เมื่อเราเชื่อมต่อกับบล็อกเชนได้แล้วยุค “อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (Internet of Things)” จะมาถึงจริงหรือ จะมีบล็อกเชนรูปแบบอื่นๆ นอกเหนือจากแบบสาธารณะและส่วนบุคคลอีกไหม บล็อกเชนจะบันทึกและอัพเดทสถานะในโลกจริงได้อย่างไร หรือเราควรจะปรับกิจกรรมทุกอย่างให้เหมาะสมกับกิจกรรมบนบล็อกเชน การย้ายสินทรัพย์ข้ามบล็อกเชนจะเป็นฝันร้ายแห่งการรวมฐานข้อมูลหลายๆ ตัวเข้าด้วยกัน หรือมันจะง่ายกว่านั้นเยอะ
ความลำบากของนักนวัตกรรมแทบทุกคนคือการก้าวข้ามกำแพงของบรรดาบริษัทใหญ่ๆ แม้แต่อินเทอร์เน็ตเองก็ไม่มีข้อยกเว้น อย่างที่เราเห็นว่ามีผู้เล่นรายใหญ่เพียงไม่กี่เจ้า ที่ยอมปรับตัวใหม่ให้เข้ากับยุคสมัยของเว็บ ส่วนหลายธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมกลับรับบทบาทเป็น ผู้รับผลกระทบจากอินเทอร์เน็ตแทน ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมหนังสือพิมพ์ ร้านค้าปลีก ร้านหนังสือ เอเจนซี่ท่องเที่ยว โบรคเกอร์หุ้น นายทุน ธุรกิจรับชำระเงิน ไปรษณีย์ และอื่นๆ ต่างต้องทนดูธุรกิจของพวกเขาถูกอินเทอร์เน็ตเข้ามาแทนที่
การนำบล็อกเชนเข้ามาใช้อาจทำให้บริษัทใหญ่ๆ ต้องวุ่นกันไปอีก 10 ปีต่อจากนี้ เพื่อปรับโครงสร้างการดำเนินงานของพวกเขาใหม่ให้รองรับและได้รับประโยชน์จากบล็อกเชนที่จะเข้ามาช่วยลดต้นทุนและพัฒนาระบบปฏิบัติการ แต่พวกเขาจะยอมออกนอก comfort zone หรือ พวกเขาจะยอมเปลี่ยนแปลงระบบปฏิบัติการปัจจุบันที่อยู่ตรงหน้าหรือไม่
หากธนาคารกลางที่งุ่มง่ามมาตลอดเรื่องบล็อกเชนยอมรับเอาสกุลเงินดิจิทัลเข้ามาใช้ นั่นจะหมายถึงพวกเขาแค่ต้องการทดลองหรือมันคือสิ่งที่พวกเขาเชื่อและมองเห็นอนาคตจริงๆ กันแน่
เมื่อไหร่ก็ตามที่มีแอปฯ ที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีความรู้เชิงเทคนิคเกี่ยวกับบล็อกเชน กระเป๋าสตางค์ดิจิทัลในยุคแรกถือว่ามีความใกล้เคียงกับบล็อกเชนมากและยังไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้มากพอ อย่างน้อยก็ไม่ใช่สำหรับผู้บริโภคกลุ่มใหญ่
บางทีเราอาจกำลังรอให้มีบล็อกเชนที่ทำงานได้เทียบเท่ากับเว็บไซต์ เพราะระบบ World Wide Web นี่เองคือผู้ให้บริการหน้าฉากที่ใช้งานง่ายโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลกับการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการเข้าถึงข้อมูล สุดท้ายเราจะสามารถเปลี่ยนบทสนทนานี้จากเชิงเทคนิค ให้กลายเป็นเชิงธุรกิจได้หรือไม่
ในบล็อกเชนส่วนใหญ่ Regulators ยังไม่ได้เข้ามารับบทหนักเท่าไหร่ แต่แน่นอนว่าพวกเขาจะถูกผูกให้ต้องมีบทบาทในที่สุด ที่เรายังไม่รู้คือพวกเขาจะเข้ามาช่วยเปลี่ยนแปลง อัปเดต ทดสอบ สนับสนุน หรือว่าขัดขวางนวัตกรรมบล็อกเชนกันแน่
Regulators ที่มีการอัปเดตอย่างเหมาะสม จะช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพของบล็อกเชนได้เป็นอย่างดี มีทฤษฎีใหม่หลายตัวเกี่ยวกับการกำกับควบคุมบล็อกเชนที่จะวาง Regulators ไว้เป็นบัพบนเครือข่าย เหมือนเครื่องสังเกตการณ์อื่นๆ เขาจะสามารถปรากฏตัว หายตัว และแทรกซึมเข้าไปตรวจสอบ และตอบสนองในทุกระดับชั้นของธุรกรรมได้
อย่างไรก็ตามเรายังไม่เคยเห็น Regulators ที่เข้ามาอยู่ตรงจุดนี้อย่างเป็นทางการ อีกทั้งยังคงต้องรอดูการทดสอบให้มากกว่านี้ก่อนจะนำดอกผลของมันมาใช้งานจริง
ระบบปฏิบัติการ Proof of Work (POW) จะขยายตัวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หรือวิธีใหม่ที่คนส่วนใหญ่เห็นพ้องกันมากกว่าอย่าง Proof of Stake จะเข้ามาแทนที่? เรารู้ทุกอย่างที่ควรรู้ในเชิงเศรษฐกิจและความปลอดภัยเกี่ยวกับระบบปฏิบัติการที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าดีนี้แล้วหรือยัง
คำถามที่ตามมาจากคำถามแรกคือ: เหล่านักขุดเหมืองจะยังคงมีบทบาทสำคัญในวงจรนี้ หรือว่างานของพวกเขากำลังจะถูกคุกคาม ยิ่งไปกว่านั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะสร้างบล็อกเชนสาธารณะซึ่งไม่ถูกควบคุมโดยผลกำไรน้อยนิดจากการทำเหมือง Bitcoin
ผมจะขอเตือนความจำเราทุกคนด้วยสิ่งที่ Tim Berners-Lee พูดตอนที่พวกเขาปล่อยให้เทคโนโลยีเว็บไซต์ กลายเป็นของสาธารณะอย่างสมบูรณ์แบบว่า “คุณจะวางแผนปล่อยบางอย่างออกสู่จักรวาล และพยายามควบคุมมันไปพร้อมๆ กันไม่ได้หรอก”
ท้ายที่สุดเราจะสามารถมีบล็อกเชนที่ปลอดภัยโดยไม่พึ่งระบบการให้ Bitcoin ที่มีมูลค่าเป็นเครื่องตอบแทนในการรักษาความปลอดภัยให้มัน หรือโดยไม่ต้องเรียกมันว่า เป็นบล็อกเชนส่วนบุคคลที่ผ่านการอนุญาตได้หรือไม่
ทุกวันนี้โครงการเสนอขายเงินดิจิทัลในระยะเริ่มต้น (Initial Cryptocurrency Offerings หรือ ICOs) ผุดขึ้นเรื่อยๆ เป็นดอกเห็ด ไม่ต่างจากตอนที่ธุรกิจอินเทอร์เน็ตพากันเร่งรัดเข้าสู่ตลาดหุ้นในปี 1999 บริษัทที่ยังครึ่งๆ กลางๆ และไอเดียต่างๆ เร่งกลั่นตัวออกมาเป็นโครงการเพียงเพื่อจะเผชิญกับความโหดร้าย ของตลาดสาธารณะในภายหลัง
การเลือกเส้นทางสร้าง ICO โดยอาศัยแคมเปญระดมทุนจากสาธารณะนั้นเกือบจะเหมือนการเปิดตัวเป็น บริษัทมหาชนตั้งแต่วันแรกของการดำเนินงาน มันไม่ง่ายเลยกับการต้องถูกจับจ้องโดยสายตาของประชาชน และบริษัทที่ไม่สามารถสร้างมาตรฐานความโปร่งใสในระดับสูงได้ไม่ควรจะเลือกเดินเส้นทางนี้
ในพายุความไม่แน่นอนของการประเมินค่า ICOs เรายังคงไม่มีทางรู้ว่าเทรนด์นี้จะกลายมาเป็นบรรทัดฐาน ของวิธีการระดมทุนเมื่อมีเงินดิจิทัลเข้ามาเกี่ยวข้องรึเปล่า
นอกจากนั้นเรายังคงอยู่ในระหว่างการพยายามตรวจสอบหลายๆ หน้าที่ที่เงินดิจิทัล (หรือโทเค่น) เข้าไปมีบทบาท: มันคือตัวแทนของสิ่งที่เกิดขึ้นจากเน็ตเวิร์ค ผลประโยชน์โดยเนื้อแท้ รางวัล หรือว่าเครื่องมือในทางทฤษฎีกันแน่
ในปี 2016 การรอคอยมาตรฐานของบล็อกเชนแทบจะเหมือนการรอคอย Godot ในละคร Waiting for Godot แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสักเท่าไหร่ การออกมาตรฐานที่เร็วเกินไปอาจทำร้ายตัวอุตสาหกรรม บล็อกเชนเอง เพราะคนยังต้องการเห็นเทคโนโลยีนี้เบ่งบานต่อไปอีกหน่อย
มาตรฐานของบล็อกเชนเป็นประเด็นที่ซับซ้อน และมันแผ่ขยายออกไปไกลเกินกว่าจะมองเป็นแค่ความท้าทายในการทำงานร่วมกันได้ เราอาจจำเป็นต้องมีชุดมาตรฐานในเชิงเทคนิค ธุรกิจ และกฎหมาย ทว่ายังไม่รู้จริงๆ ว่าจะเป็นอันไหนกันแน่ หรือมาตรฐานที่มีอยู่แล้วตัวไหนจะต้องได้รับการอัพเดทแทนที่จะคิดทุกอย่างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
นวัตกรรมเทคโนโลยีก้าวหน้าเร็วกว่าการควบคุมและมาตรฐานที่อยากจะจับมันใส่กรอบเพื่อตีตราเสมอ แต่ถ้าคุณพยายามจับภาพเคลื่อนไหวใส่กรอบเร็วจนเกินไป คุณภาพภาพที่ออกมาก็จะไม่ชัดเจน และแน่นอนว่าคุณจะอยากหาอะไรมาแทนที่มันเพียงไม่นานหลังจากนั้น
ในทางทฤษฎีคอมพิวเตอร์ระบบควอนตัมอาจลดความยืดหยุ่นของความปลอดภัยบนบล็อกเชนได้ เพราะมันส่อเค้าจะทำลายความแข็งแรงของการเข้ารหัส
คอมพิวเตอร์ระบบควอนตัมจะกลายมาเป็นภัยอย่างหนึ่งที่ต้องเผชิญหรือการเข้ารหัสของบล็อกเชนจะได้ประโยชน์จากมันในแง่การพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นตามจนผลสุดท้ายออกมาอยู่ในรูปของคู่ต่อสู้ที่เท่าเทียมกันแน่
เราให้คำจำกัดความบล็อกเชนว่าเป็นเครือข่ายแบบคนต่อคน ที่มูลค่าทุกอย่างแพร่สะพัดโดยไม่มีตัวกลาง แต่ในความเป็นจริงคือตัวกลางรูปแบบใหม่กำลังจะเกิดขึ้นต่างหาก
กิจกรรมส่วนมากของบล็อกเชนมุ่งเน้นไปที่การบริการทางการเงิน เนื่องจากธุรกิจสตาร์ทอัพหลายตัวมองว่าธนาคารคือตัวกลางที่กำลังจะหายไป แต่ที่นอกวงการบริการทางการเงินล่ะ อุตสาหกรรมอื่นๆ จะโชว์การนำบล็อกเชนไปใช้ประโยชน์อย่างไรบ้าง รัฐบาล พลังงาน และแวดวงสุขภาพดูจะเป็นคู่แข่งที่ดี แต่การนำบล็อกเชนไปใช้จริงนั้นยังคงมีน้อยและระดับความก้าวหน้าก็ยังห่างชั้นมาก
การเชื่อมโยงบล็อกเชนไปสู่สินทรัพย์ที่เป็นรูปธรรมในโลกจริงโดยไม่ใช้คนกลางที่วางใจได้จะเป็นไปได้จริงหรือเปล่านะ
มีกลุ่มการค้าร่วมต่างๆ อย่างน้อย 25 กลุ่มซึ่งเป็นการรวมกันของหลายประเภทธุรกิจและอุตสาหกรรม ทั้งหมดมีจุดประสงค์คือสร้างผลประโยชน์ร่วมกันให้บรรดาสมาชิก
การรวมกลุ่มธุรกิจเป็นเรื่องยาก มันไม่ง่ายเลยที่จะดึงหลายบริษัทที่แตกต่างกันมาทำงานร่วมกัน คุณต้องมีระบบดำเนินการที่มีวินัย มีความหนักแน่น อดทน และยืนหยัดต่อการเมืองภายใน รวมถึงปัญหาด้านวุฒิภาวะหลายๆ อย่างให้ได้
ส่วนที่ดีที่สุดคือมันทำให้สนามแข่งมีความเท่าเทียมขึ้นในหมู่สมาชิก และช่วยให้ทุกบริษัทเดินหน้าร่วมกันได้ ดังนั้นการเข้ากลุ่มการค้าร่วมจึงไม่ได้ให้ผลประโยชน์ในเชิงแข่งขัน ซึ่งนั่นเองคือสาเหตุ ที่สมาชิกกลุ่มส่วนใหญ่ยังคงต้องมีความคิดริเริ่มในการทำบล็อกเชนอื่นควบคู่ไปด้วย
การรวมกลุ่มจะพาพวกเขาไปสู่เป้าหมายได้ไหม หรือท้ายที่สุดแล้วมันจะเป็นแค่สะพานนำไปสู่กิจกรรมรูปแบบอื่นกันแน่
คนเรามีแนวโน้มที่จะใช้เวลากับกิจกรรมออนไลน์ซึ่งไม่ก่อรายได้มากขึ้นทุกวัน ทว่าเราจะยอมเสียเวลาฟรีๆ แบบนี้กันต่อไปเรื่อยๆ หรือเปล่า ยกตัวอย่างเช่น การเล่นโซเชียลมีเดียคือกิจกรรมที่เสียเวลาไปแบบเปล่าๆ โดยไม่มีผลประกอบการทางการเงินโดยตรง จะเป็นอย่างไรถ้าเราอัดฉีดสกุลเงินดิจิทัลเข้าไป
ในกิจกรรมเหล่านี้เพื่อสร้างเป็นหน่วยมูลค่าใหม่ มันจะเป็นแรงจูงใจที่ดีพอให้เกิดการสร้างสรรค์ประโยชน์ และพัฒนาคุณภาพได้หรือไม่
สกุลเงินดิจิทัลใช่เชื้อเพลิงที่ขาดหายไปซึ่งจะมาช่วยผลักดันเศรษฐกิจในยุคอิงกระแสให้เคลื่อนตัวอีกครั้งหรือเปล่า
โลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันของบล็อกเชนจะมีหน้าตาอย่างไร หรือพวกมันทั้งหมดจะทำงานร่วมกันได้เป็นหนึ่งเดียว
ถ้าโลกนี้มีอินเทอร์เน็ตมากกว่าหนึ่งระบบ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคงจะไม่เบ่งบานอย่างที่เป็นตลอดเวลาที่ผ่านมา
แน่นอนว่าเส้นทางไปสู่ระบบบล็อกเชนหลายเครือข่ายและบัญชีธุรกรรมสาธารณะกำลังถูกสร้างอยู่ แต่เรายังคงไม่เข้าใจเต็มร้อยว่า Network Effect ที่จำเป็นจะได้รับผลกระทบอย่างไร จากความทวีคูณของเครือข่ายบล็อกเชน
บล็อกเชนส่วนบุคคลจะเกิดขึ้นเพียงรูปแบบเดียวคือเป็นของกลุ่มการค้าร่วม หรือจะมีรูปแบบอื่นๆ ในทำนองเดียวกับเว็บไซต์ส่วนบุคคล บริษัทหนึ่งๆ จะมีแอปพลิเคชันบล็อกเชนเป็นของตัวเอง เพื่อรองรับลูกค้าเฉพาะของพวกเขาหรือไม่
จุดประสงค์ของเช็คลิสท์นี้ไม่ใช่เพื่อให้มองในแง่ร้าย แต่เพื่อให้มองเห็นตามความเป็นจริง
เป็นเรื่องดีเสมอที่คนเราจะมองให้ไกลถึงสิ่งที่ต้องเจอในภายภาคหน้า แม้กระทั่งตอนที่กำลังดื่มด่ำกับความหวังและความตื่นเต้นก็ตาม
คนที่มองโลกในแง่ดีจะบอกให้คุณเชื่อ พวกช่างกังขาจะอยากให้คุณลืมมันไป ส่วนคนที่มองโลกตามจริง (อย่างผม) จะสนับสนุนให้คุณคิดเยอะๆ และระวังตัวไว้เสมอ
ข่าวลือในหลายประเด็นที่ผมได้แจกแจงไปแล้วยังคงแพร่สะพัดอยู่ทั่วไป สำหรับการนำแนวทางในวันนี้ไปปฏิบัติจริง ผมแนะนำให้คุณทำการบ้านด้วยตัวเองโดยเลือกบล็อกเชนใดๆ ก็ตามที่ตัวคุณมีส่วนเกี่ยวข้อง ลิสท์รายการของสิ่งที่คุณยังไม่รู้ หาแนวทางเพื่อกำจัดความคลุมเครือ และเปลี่ยนเรื่องที่ไม่รู้เหล่านั้นให้กลายเป็นเรื่องที่คุณรู้
จากนั้นคุยกับคนอื่นๆ ที่อยู่นอกจักรวาลบล็อกเชนของคุณ ถามพวกเขาว่ามีความเห็นยังไงบ้างกับโครงการ และไอเดียของคุณ เหมือนกับเด็กๆ พวกเขาอาจพูดอะไรที่ขัดใจที่สุด แต่พวกเขาไม่โกหก และนั่นจะดึงคุณกลับมาสู่พื้นฐานแห่งความเป็นจริง
หลังผ่านการใช้งานมากว่าสองทศวรรษ เราสามารถพูดได้ว่าวันนี้เว็บไซต์กลายเป็นลูกแมวเชื่องๆ ไปแล้ว เนื่องจากมีประเด็นที่เราไม่รู้เกี่ยวกับมันน้อยมาก (ไม่นับปริศนาเร้นลับของการแฮ็กข้อมูล) ในทางตรงกันข้าม อาณาจักรแห่งบล็อกเชนกำลังเดือดพล่านไปด้วยความคลุมเครือ เป็นความคลุมเครือที่เราไม่อาจก้าวข้ามได้ และจะยังเป็นเช่นนี้ไปอีกหลายปีจนกว่านวัตกรรมนี้จะไปถึงจุดที่สุกงอมเต็มตัว
การเปิดประเด็นสิ่งที่เรารู้แล้วว่ายังไม่รู้เป็นเพียงส่วนง่าย ที่ยากกว่าคือการหาสิ่งที่เราไม่รู้ว่ายังไม่รู้ต่างหาก แต่กว่าจะไปให้ถึงจุดนั้นได้เราคงต้องรอไปอีกปีก่อนครับ!
ที่มา: Coindesk.com
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด