การประชุมประจำปีของ World Economic Forum เพิ่งเสร็จสิ้นไป ณ เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งนับเป็นเวทีสำคัญมาตั้งแต่ปี 1971 โดยมีผู้นำทางการเมืองและเศรษฐกิจโลก รวมถึงบุคคลสำคัญระดับโลกหลายพันคน มารวมตัวกันเพื่อหารือถกเถียงเกี่ยวกับเทรนด์ และการเดินหน้าอนาคตเศรษฐกิจโลก มาดูกันว่ามีข้อคิดหรือประเด็นอะไรที่น่าสนใจบ้าง
หนึ่งในวาทะที่สำคัญจาก แจ๊ค หม่า ที่มักจะได้ยินกันบ่อย ๆ คือ ให้จ้างคนที่มีทักษะเก่งกว่าและฉลาดกว่าตนเองเสมอ
เวลาผมจ้างใครก็ตาม ผมจะมองหาคนที่ฉลาดกว่าผม คนที่มีแนวโน้มว่าในอีก 4-5 ปีข้างหน้าจะขึ้นมาเป็นนายผม ผมชอบคนที่มีทัศนคติที่ดี และคนที่ไม่ยอมแพ้ต่ออะไรง่าย ๆ
"คนที่ดีที่สุดในนิยามของผม คือคนที่มองโลกในแง่บวก และไม่เคยปริปากบ่น"
ซึ่งการที่เขาสามารถรอดพ้นจากโลกการทำงานในองค์กรมาได้ 20 ปี นั่นเพราะเคยเป็นอาจารย์มาก่อน
"ในการเป็นครูนั้น แน่นอนว่าจะต้องการให้นักเรียนพัฒนาไปได้ไกลกว่า กฎที่สำคัญที่สุดคือ คุณต้องผลักดันให้คนอื่นพัฒนาไปได้ไกลกว่าตัวคุณเอง"
จินนี โรเมตตี (Ginni Rometty) ผู้ดำรงตำแหน่งซีอีโอของไอบีเอ็ม (IBM) พูดถึงความสำคัญของทักษะที่จำเป็นต่องานในโลกอนาคตว่า "ระบบ Automation กำลังมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานอย่างรวดเร็ว มันสร้างช่องว่างของทักษะแรงงาน อีกทั้งความไม่มั่นคงในอาชีพที่นับวันยิ่งเห็นได้ชัดขึ้นเรื่อย ๆ"
เมื่อพูดถึงเรื่องการรับมือกับวิกฤตทักษะขาดแคลน ฉันเชื่อว่างานกว่า 100 เปอร์เซ็นต์จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เราทุกคนสามารถรอดพ้นจากวิกฤตนี้ไปได้
สิ่งที่โรเมตตี้ต้องการเห็นในอนาคตคือการพัฒนารูปแบบการศึกษาและอาชีพใหม่ อย่างการเข้ามาแทนที่ตลาดแรงงานจาก 'กลุ่ม New Collar' ไม่ใช่พวก White collar กับ Blue collar หรือกลุ่มมนุษย์เงินเดือนหรือผู้ใช้แรงงาน
ซึ่งนี่หมายถึงการลงทุนพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อตลาดแรงงาน ฝึกและปรับเปลี่ยนไปตามนั้น พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ การหลุดออกจากโมเดลเดิม ๆ อย่างการจ้างบัณฑิตที่ร่ำเรียนมาหลายปี บุคคลที่ฝึกทักษะที่เป็นที่ต้องการจนชำนาญ และมีประสบการณ์ก็สามารถเข้าสู่โลกการทำงานได้เช่นกัน อย่างกรณีของไอบีเอ็มเอง 1 ใน 3 ของพนักงานก็ไม่มีดีกรีปริญญา
อัลเลน บลู (Allen Blue) ผู้ร่วมก่อตั้งและรองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ LinkedIn พูดถึงบทบาทของเทคโนโลยีทั้ง AI และ Machine Learning ที่เข้ามากระทบในทุกส่วนของชีวิต อีกทั้งเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างเทคโนโลยีแทบจะทุกอย่าง ทั้งเครื่องมือสื่อสาร ระบบการเงิน ผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
นอกจากนี้ เขายังมีความการให้ผู้หญิงเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างนวัตกรรมมากขึ้น โดยกล่าวว่า "ผมคิดว่ามันเป็นไปได้ ในการออกแบบและพัฒนาเทคโนโลยีให้เป็นไปในทางที่ถูกต้อง" ซึ่งนี่เป็นการสะท้อนถึงการที่ระบบ Algorithm (อัลกอรึทึม) ที่ในปัจจุบันยังมีอคติ (biased) เพราะส่วนใหญ่แล้วมันถูกสร้างโดยผู้ชายนั่นเอง
เขาเชื่อว่า เทคโนโลยีสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกในที่ทำงานได้ อย่างการเรียนรู้ออนไลน์แบบเรียลไทม์ อีกทั้งสามารถช่วยสร้างบาลานซ์ระหว่างชีวิตและการทำงาน อย่างการสามารถทำงานที่ไหนก็ได้
มูคิแอล เปอนิโก (Muriel Penicaud) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานฝรั่งเศส พูดถึงความจำเป็นของการฝึกอบรมให้ประชากรมีทักษะใหม่ (Re-Skilling Program) โดยฝรั่งเศสได้มีการมอบทุน 500 ยูโร (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 18,000 บาท) ต่อปีแก่พนักงาน ในการเลือกโปรแกรมพัฒนาทักษะที่จำเป็นเอง
"ปัจจุบันการเข้าถึงเงินทุนนั้นง่ายกว่าการมีทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานเสียอีก"
ประชาชนฝรั่งเศสจำนวนมากมีความคิดว่าพวกเขาตกเป็นเหยื่อของกระแสโลกาภิวัฒน์และเทคโนโลยี เมื่อใดก็ตามที่คุณไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ การเปลี่ยนแปลงมักจะเป็นเรื่องน่ากลัวเสมอ ดังนั้นคุณต้องทำตัวให้อยู่ในตำแหน่งที่สามารถเลือกอนาคตของตัวเองได้
ไม่ใช่เรื่องโลกสวยแต่อย่างใด แต่เรื่องสุขภาพจิตหรือ Mental Health นั้นถือเป็นอีกประเด็นสำคัญในเวทีการประชุมครั้งนี้ โดยเฉพาะคำถามที่ว่า จะทำอย่างไรในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่สนับสนุนต่อสุขภาพจิตของพนักงานได้ โดยจอห์น ฟลินท์ (John Flint) ซีอีโอของธนาคาร HSBC กล่าวว่า ผู้ที่รอดพ้นจากภาวะนั้นมาได้คือกุญแจสำคัญของโลกธุรกิจ
พนักงานที่สามารถรอดพ้นจากวิกฤตสุขภาพจิตมาได้ มักจะเป็นผู้ที่มีความยืดหยุ่นในการทำงานและอุดมไปด้วยปัญญามากกว่า
ฟลินท์ ยังมีความต้องการให้วงการธนาคารเป็น 'The Healthiest Human System' ซึ่งเรื่องสุขภาพจิตควรจะเป็นสิ่งที่นำมาพิจารณาในเรื่องประสิทธิภาพการทำงานด้วย
อ้างอิง: World Economic Forum
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด