กลับมาอีกครั้งกับงาน Bitkub Meetup 2024 ครั้งที่ 2 ในหัวข้อ: The Halving Month ร่วมนับถอยหลังสู่เดือนแห่ง Bitcoin Halving บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึงประวัติศาสตร์ของ Cryptocurrency และคาดการณ์แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ พร้อมด้วยบทสรุปจากช่วงเสวนาพิเศษว่าด้วยเรื่องเทรนด์การลงทุนของคนรุ่นใหม่
ใน Session แรกกับหัวข้อ The History of Crypto & Market Cycle โดยคุณพิริยะ สัมพันธารักษ์ กรรมการบริหาร บริษัท โฉลกดอทคอม จำกัด ย้อนไปสำรวจประวัติศาสตร์ของ Crypto กับการแก้ปัญหาระบบการใช้เงินและวงจรตลาดที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ Bitcoin Halving
คุณพิริยะ สัมพันธารักษ์ หรือ อ.ตั๊ม พิริยะ ให้คำนิยาม Bitcoin ว่าเป็นสินค้าประเภทหนึ่งที่สามารถใช้เป็นเงินได้ เมื่อเกิดการสมัครใจร่วมกันขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาของระบบการเงินในปัจจุบันที่ ‘เงิน’ สามารถเสกขึ้นมาได้บนสมุดบัญชีของทุกคนโดยธนาคารหรือจากสถาบันทางการเงินอื่นๆ
ระบบการเงินปัจจุบันถูกควบคุมโดยคนกลุ่มเล็กๆ ที่มีอำนาจในการทำลายความมั่งคั่งทางการเงินที่ทุกคนสร้างขึ้นจากการทำงานอย่างหนัก ด้วยอำนาจในการตัดสินใจเพิ่มตัวเงินในระบบเศรษฐกิจ และเป็นระบบที่สร้างความเหลื่อมลํ้าที่มากที่สุด พาทุกคนเข้าไปอยู่ในระบบหนี้ เพื่อสร้างความสำเร็จในชีวิต
ในขณะที่ Bitcoin ไม่ใช่หนี้ จับต้องได้ มีต้นทุนในการผลิตชัดเจน มีความโปร่งใส และสามารถใช้ได้โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง “เพราะคุณคือคนเดียวที่จะสามารถใช้มันได้” คุณพิริยะกล่าว
จำนวนเหรียญ Bitcoin มีอยู่จำกัดอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญและถูกขุดมาอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราการผลิตที่แตกต่างกันโดยมีผลมาจากโค้ดที่ถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งเราจะเรียกเหตุการณ์นี้ว่า Bitcoin Halving หรือการลดอัตราการผลิตของเหรียญ Bitcoin ลงครึ่งหนึ่งซึ่งจะเกิดขึ้นในทุกๆ สี่ปี
ปัจจุบันอัตราการผลิต Bitcoin จะอยู่ที่ 6.25 BTC ต่อหนึ่งบล็อกที่เกิดขึ้น และจะลดลงครึ่งหนึ่งเหลือ 3.125 BTC ต่อหนึ่งบล็อก หลังการเกิด Bitcoin Halving
อ.ตั๊ม พิริยะมองว่า Bitcoin Halving เป็นเหมือนปรากฏการณ์ธรรมชาติ ด้วยกลไกที่ถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่เริ่มต้นด้วยโค้ดเพียงไม่กี่บรรทัด เพราะโหนด (Nodes) หรืออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อระบบ Blockchain ได้กระจายตัวไปทั่วและไม่มีใครยับยั้งได้ สามารถตรวจสอบ ควบคุมและมีความโปร่งใสด้วยกลไกของตัวเอง
แน่นอนว่า Bitcoin Halving ส่งผลกระทบกับ Demand และ Supply เพราะจำนวน Bitcoin ที่ผลิตได้จะลดลงถึงครึ่งหนึ่งต่อการผลิตในแต่ละบล็อก นำมาสู่วัฏจักรสี่ปีที่เกี่ยวเนื่องกับการเกิด Bitcoin Halving และเกิดขึ้นซ้ำๆ มาตลอด 15 ปีนับตั้งแต่การเกิดขึ้นของ Bitcoin
เริ่มต้นที่ช่วงก่อนการเกิด Halving ราคา Bitcoin จะค่อยๆ สูงขึ้นจากจุดต่ำสุด และพอเข้าสู่ช่วง Halving ด้วย Demand ที่ยังมีอยู่เท่าเดิม แต่ Supply ลดลงไปแล้วครึ่งหนึ่งต่อการผลิตในแต่ละบล็อก ทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นซึ่งทำให้ผู้เล่นรายย่อยหันมาสนใจซื้อ Bitcoin และทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นไปถึงจุด All-time High และจะค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ มาอยู่ในราคาที่ควรจะเป็นในที่สุด
ถึงแม้ว่าวัฏจักรสี่ปีจะเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ หรือตลอดไป หลังการเข้ามาของ Spot Bitcoin ETF หรือ กองทุนที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถลงทุนใน Bitcoin ได้โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งเข้ามาเพิ่มจำนวนเม็ดเงินในตลาดและทำให้ราคา Bitcoin ทำ All-Time High ก่อนการเกิด Bitcoin Halving เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
จึงน่าจับตามองว่า หลังการ Halving ครั้งนี้ราคาของ Bitcoin จะพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว หรือจะไม่เปลี่ยนแปลงตามวัฏจักรสี่ปีที่ควรจะเป็น
การเกิดขึ้นของ Spot Bitcoin ETF ทำให้เกิดผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดเพิ่มมากขึ้น เป้าหมายของ Bitcoin คือการเป็นเงินสำหรับทุกคน ดังนั้น การเข้ามาครั้งนี้คาดว่าจะเป็นตัวเร่งที่ทำให้ Bitcoin กลายเป็นเงินของโลกอย่างแท้จริง ที่แฟร์และอิสระกับทุกคน ตลาดคริปโตยังเป็นช่องว่างแห่งความหวังที่จะสู้กับค่าเงินที่ค่อยๆ หมดมูลค่าลงไป
Session ที่สองกับการเสวนาพิเศษในหัวข้อ เจาะลึกแนวคิดการลงทุนของคนรุ่นใหม่ นำโดย
คุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัดคุณซีเค เจิง (CK Cheong) CEO Fastwork ผู้นำด้าน Freelance Platform และร่วมด้วย คุณพิริยะ สัมพันธารักษ์ กรรมการบริหาร บริษัท โฉลกดอทคอม จำกัด ร่วมแสดงความคิดเห็นในมุมมองการลงทุนของคนรุ่นใหม่ในหลากหลายหัวข้อ
คุณซีเค เจิงให้ความเห็นว่า โลกไม่ได้หมุนเร็วไปจนเราตามไม่ทัน ตัวอย่างเช่น การเข้ามาของ AI ในปัจจุบัน ยังไม่ได้ทำให้อาชีพกราฟิกหมดไป แต่เราสามารถที่จะคาดเดาอนาคตได้ รวมถึงพัฒนาตัวเองให้ทันเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกกลืนกินไป ส่วนในมุมของการลงทุน คุณซีเค เจิงเสริมว่าเราควรลงทุนเพื่ออนาคต ลองนึกภาพว่าเทคโนโลยีในอีกห้าปี หรือสิบปีข้างหน้าจะเป็นแบบไหน
คุณท๊อป จิรายุส เสริมในประเด็นนี้ว่า นักลงทุนเก่งๆ ต้องมี Intellectual Humility หรือแนวคิดที่ว่าเราไม่ได้รู้ทุกอย่างและพร้อมจะเปิดรับสิ่งใหม่ๆ เสมอ เพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและไม่มีอะไรคงอยู่ได้ตลอดไป เช่น เงินที่พัฒนาจากทองมาเป็นกระดาษและกลายมาเป็นแบบดิจิทัล หากว่าไม่มี Intellectual Humility ยังไงก็ไม่สามารถตามทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปได้อย่างแน่นอน เช่นเดียวกับ อ.ตั๊ม พิริยะ ที่แนะนำให้ทุกคนศึกษาในสิ่งที่ยังไม่มีใครศึกษาเพื่อที่เราจะสามารถแซงหน้าการเปลี่ยนแปลงได้
กลายเป็นอีกปัจจัยที่มีอิทธิพลกับการลงทุนของคนรุ่นใหม่อย่างมาก โดย Speakers ทุกคนให้ความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าไม่ควรเชื่อใครนอกจากเชื่อตัวเอง อ.ตั๊ม พิริยะ กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า เราไม่ควรยืมจมูก ยืมตาของคนอื่นในการลงทุนของตัวเอง เราต้องเรียนรู้และเจ็บด้วยตัวเอง หากคุณเลือกที่จะเชื่อคนอื่น ยังไงก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จในการลงทุนอย่างแน่นอน
คุณซีเค เจิง เสริมว่าสิ่งที่ Influencers ทำก็เหมือนสิ่งที่นักลงทุนรายใหญ่ๆ ทำก็คือการที่ทำให้เราเชื่อในสิ่งที่เขาทำและหวังให้เราต้องทำตามสิ่งที่เขาคิด เพื่อที่จะได้รับผลประโยชน์นั้นแทน การเป็นนักลงทุนที่ดีต้องเชื่อมันในตัวเองเพราะไม่มีใครหวังดีกับตัวเองได้เท่ากับตัวเองอีกแล้ว
“ผมอยากให้ทุกคนลงทุนในสิ่งที่ตัวเองเข้าใจ เพราะไม่มีใครจะรักเงินของคุณได้เท่ากับคุณ” ซีเค เจิง กล่าว
คำเตือน :
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด