หากอยู่ในแวดวงของ Blockchain คงเคยได้ยินคำว่า Node หรือ Mining กันมาบ้าง ซึ่งทั้งสองอย่างมีความแตกต่างกันไม่น้อย ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาเรียนรู้เรื่องนี้กัน
Blockchain Node คือ บัญชีแยกประเภทดิจิทัลแบบกระจายอำนาจ (decentralised digital ledger) ที่บันทึกธุรกรรมสกุลเงินดิจิทัลทั้งหมด โดยทุกธุรกรรมที่บันทึกจะแจกจ่ายตามลำดับเวลาไปยังอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกันซึ่งคือ Node ซึ่งเหล่านี้จะสื่อสารกันภายในเครือข่ายและจะถ่ายโอนข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมและ Block ใหม่
โดยจุดประสงค์หลักของ Node บน Blockchain คือ การตรวจสอบธุรกรรมเครือข่ายแต่ละชุด ซึ่งเรียกว่า Block และแต่ละ Node มีความแตกต่างกันเพราะมีเอกลักษณ์ที่ไม่ซ้ำกัน รวมทั้ง Node เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของโครงสร้างพื้นฐาน Blockchain ที่ช่วยรักษาความปลอดภัยและความสมบูรณ์ของเครือข่าย
โดยทั่วไปมี Node 2 ประเภทหลัก ได้แก่ Lightweight nodes และ Full nodes
สำหรับ Full nodes จะสนับสนุนและให้การรักษาความปลอดภัยแก่เครือข่าย โดย Node เหล่านี้ตรวจสอบทุก Block และธุรกรรมที่นำเสนอซึ่งจะตรวจสอบโดยกลไกฉันทามติของเครือข่าย
ในขณะที่ Lightweight node จะตรวจสอบธุรกรรมโดยใช้วิธีการที่เรียกว่าการตรวจสอบการชำระเงินแบบง่าย (SPV) ซึ่ง SPV จะอนุญาตให้ Node ตรวจสอบธุรกรรมใน Block ได้โดยไม่ต้องดาวน์โหลด Blockchain ทั้งหมด โดย Lightweight node จะทำการดาวน์โหลดข้อมูล Blockchain เพียงบางส่วนเท่านั้น
ข้อดีของการรัน Node บนเครือข่ายต่างๆ คือการได้รับรางวัลที่จะอยู่ในรูปแบบของเหรียญและผลกำไรอื่นๆ เช่น ลดค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม ได้รับเหรียญที่เกี่ยวข้องในเครือข่าย เป็นต้น
ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่เข้าร่วมเป็น GALA Node จะได้รับผลตอบแทนเป็น GALA Tokens และเหรียญของเกมส์ในเครือข่าย ซึ่งนอกจากโทเคนแล้ว ผู้ที่เป็นโหนดยังได้รับ NFTs Drop แบบสุ่มเป็นผลตอบแทนด้วยเช่นกัน โดยเราสามารถนำ NFT เหล่านี้ไว้สำหรับใช้เล่นเกมบนเครือข่ายหรือสามารถนำไปขายเพื่อสร้างผลตอบให้แก่ตนเองได้
ในขณะที่อีกตัวอย่างหนึ่งที่หลายคนนิยมเข้าร่วม นั่นคือ Bitcoiners ซึ่งเป็นการเข้าร่วมแบบ Full nodes ที่ทำให้เครือข่ายแข็งแกร่งขึ้น ยิ่งมีผู้เข้าร่วมมาก เครือข่ายก็จะยิ่งมีการกระจายอำนาจและต้านทานการโจมตีบางประเภทได้มากขึ้นเช่นกัน
ส่วนใหญ่ทุกคนจะสามารถตั้งค่า Node โดยการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ของ blockchain ลงในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของตนได้ทุกที่ในโลก เนื่องจาก Node ของ blockchain ไม่ได้อาศัยการตรวจสอบจากด้านบนของระบบ โดยพวกเขาจะตรวจสอบซึ่งกันและกันด้วยกลไกฉันทมติ
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเครือข่าย เพราะบางเครือข่ายจำเป็นที่จะต้องซื้อ Node ถึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วมในการรัน Node ตัวอย่างเช่น GALA Node
สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างทั้งสองอย่าง คือ Node เป็นเซิร์ฟเวอร์ที่จัดเก็บและตรวจสอบประวัติการทำธุรกรรมทั้งหมดบนเครือข่าย Blockchain
ในขณะที่ Mining หรือที่เรียกกันว่า การขุด เป็นกระบวนการที่ Bitcoin และคริปโตเคอเรนซีอื่น ๆ ใช้เพื่อสร้างเหรียญใหม่ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมคริปโตเคอเรนซีบนเครือข่าย และเพิ่มไปยังบัญชีแยกประเภทแบบกระจาย และสิ่งสำคัญ คือ การขุดช่วยป้องกันความผิดพลาดในการใช้สกุลเงินดิจิทัลซ้ำบนเครือข่ายแบบกระจาย
ซึ่งการขุดนอกจากที่ช่วยในการปล่อยเหรียญใหม่เข้าสู่ระบบแล้ว การขุดยังเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาความปลอดภัยของคริปโตเคอเรนซี่ รวมทั้งการตรวจสอบและรักษาความปลอดภัยบล็อกเชน ซึ่งทำให้สกุลเงินดิจิทัลทำงานเป็นเครือข่ายการกระจายอำนาจแบบ Peer-To-Peer ที่ไม่จำเป็นต้องมีการกำกับดูแลจากบุคคลที่สาม ทั้งนี้ยังช่วยสร้างแรงจูงใจให้นักขุดมีส่วนร่วมในการใช้พลังประมวลผลในเครือข่าย
อ้างอิง
coinbase , investopedia , coindesk , gala-node
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด