นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ขึ้น ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน และเป็นเหตุที่ทำให้จีนต้องตัดสินใจปิดประเทศภายในระยะเวลาอันรวดเร็วเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดในครั้งนี้ หลังจากนั้นจีนก็สามารถที่จะควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในประเทศได้ ภายในระยะเวลา 1 ปี และได้ทำการปลดล็อกดาวน์ ซึ่งก็ได้ส่งผลให้ เศรษฐกิจจีน เริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นกัน โดยมีการรายงานว่า GDP ของของจีนเติบโตขึ้นกว่า 2.1% ในปี 2020 ที่ผ่านมา ในขณะที่ข้อมูลจาก World Bank ได้เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมาผลผลิตทั่วโลกตกไป 4.2% แต่กลับผลักให้ส่วนของจีนเพิ่มเป็น 14.5% ซึ่งถือว่าเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึง 2 ปีเลยทีเดียว
รายงานของ Bloomberg ระบุว่า ทั่วโลกต่างก็ได้มีการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจของจีนว่าจะเติบโตในอัตราที่เร็วขึ้น โดยนักเศรษฐศาสตร์ต่างคาดการณ์ว่าในปี 2021 นี้ GDP ของจีนจะเติบโตขึ้นอีก 8.2% และจะกลายเป็นระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้ามหาอำนาจดั้งเดิมอย่างสหรัฐอเมริกาภายในปี 2028
ย้อนกลับไปก่อนหน้าที่จะมีสงครามไวรัสกับมนุษย์ ทั่วโลกก็ได้ประสบปัญหาจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ ในสมัยที่มีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี ในจังหวะนั้นทำให้จีนได้เข้าไปตีตลาดอื่นอย่างตลาดเอเชีย และยุโรป รวมถึงได้มีการกระตุ้นการอุปโภคบริโภคภายในประเทศมากขึ้นเพื่อเพิ่มอำนาจทางเศรษฐกิจ และยิ่งจีนสามารถควบคุมสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ได้รวดเร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเป็นผลดีกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจของจีนมากเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่เป็นที่แปลกใจเลยว่า ทำไมในโลกหลัง COVID-19 ที่กำลังจะมาถึงนี้ จีนเนื้อหอมกับธุรกิจจากฝั่งอเมริกาและยุโรปในการที่จะเข้ามาลงทุน
ไม่ว่าจะเป็น General Motors บริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของอเมริกา และ Volkswagen บริษัทรถยนต์ชื่อดังเชื้อสายเยอรมัน ที่ตกลงจะทำการขายรถในจีนในจำนวนที่มากกว่าในบ้านของตัวเอง นอกจากนี้ทาง Starbucks ยังวางแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มขึ้นในจีนอีก 600 สาขาภายในปี 2021 และทาง Nike ยังออกมารายงานอีกว่ายอดขายในจีนปีนี้พุ่งขึ้น 2 พันล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก
นอกจากการเติบโตของ GDP แล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการที่สำคัญของเศรษบกิจจีนใน 2020 ที่ผ่านมา
เศรษฐกิจของจีนขยายตัวเท่ากับของอเมริกาในระยะเวลาที่เร็วมาก โดยระดับ GDP ของจีนเป็น 73% ของอเมริกาในปี 2020 และเพิ่มขึ้น 4.5% จากปีก่อน
จีนได้กลายเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลก จากการเพิ่มขึ้น 3.6% ของการส่งออกในปี 2020
จีนกลายเป็นประเทศที่นักลงทุนอยากมาลงทุนมากที่สุด ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น 1.29 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าประเทศ 30-40% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า
จีนเป็นประเทศที่มีฐานบริษัทมากที่สุดในโลก จากรายได้ของกลุ่มบริษัททำให้จีนติดเป็น 1 ในลิสต์ของ The Fortune Global 500
พันธบัตรของจีนได้ถูกนำเข้าไปรวมในดัชนี FTSE Russell ซึ่งเป็นผู้จัดทำดัชนีหุ้นระดับโลก
นอกจากนี้เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมาจีนและอีก 14 ประเทศในเอเชียได้ดำเนินการเซ็นสัญญาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) เพื่อลดมาตรการกีดกันทางการค้า (Trade Barriers) ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชีย และในขณะเดียวกันเดือนต่อมาทาง EU ก็ได้ตกลงทำสัญญาการลงทุนกับจีนเช่นกัน
ทั้งนี้จีนยังได้ออกมาประกาศว่า GDP ของจีนจะต้องเติบโตขึ้นอีก 2 เท่าให้ได้ภายในปี 2035
แต่อย่างไรก็ตาม จีนไม่สามารถที่จะมั่นใจได้ขนาดนั้น ตราบใดที่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในเรื่องความพันธ์กับโจทย์เดิมอย่างสหรัฐอเมริกา ทั้งด้านเทคโนโลยี เครดิตการลงทุน และที่สำคัญจีนยังเป็นประเทศที่มีผู้สูงอายุเยอะอีกด้วย
อ้างอิง Bloomberg
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด