หลังจากตัวท็อปแห่งวงการ Cryptocurrency อย่าง Elon Musk ได้ออกมาทวิตว่า Tesla จะหยุดซื้อ-ขายรถด้วยสกุลเงินดิจิทัล อย่าง Bitcoin ก็ทำเอาตลาดคริปโตผันผวนเป็นอย่างมาก โดย Musk ให้เหตุผลว่า การขุด Bitcoin นั้นต้องใช่พลังงานเยอะ และทำลายสิ่งแวดล้อม
สำหรับความกังวลเรื่องของการขุด Bitcoin นั้นมีมานานแล้ว โดยจากข้อมูลของ Cambridge Bitcoin Electricity Consumption Index พบว่า การขุด Bitcoin นั้นใช้พลังงานมากกว่าทั้งประเทศ อย่างมาเลเซีย หรือสวีเดน ทั้งนี้เนื่องมาจาก Bitcoin นั้นเป็นทรัพย์สินที่มีการจัดการแบบ Decentralization กล่าวคือ ไม่ตัวกลางนั่นเอง ดังนั้น การที่จะขุด Bitcoin ก็เหมือนกับการใช้คอมพิวเตอร์แก้สมการแบบซับซ้อน เพื่อให้ทำธุรกรรมสำเร็จ ซึ่งในการขุดจะต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่มีลักษณะเฉพาะ และในการขุดจะเป็นลักษณะของการ Hashing อัลกอริทึมที่ซับซ้อนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนออกมาเป็น Bitcoin นั่นเอง
ซึ่งพบว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ การพยายามจะขุด Bitcoin มีจำนวนเพิ่มขึ้นเยอะมาก รวมทั้งเหรียญ Dogecoin ที่ได้รับการสนับสนุนอย่างดีจาก Elon Musk ก็มีการรูปแบบการขุดเช่นเดียวกับ Bitcoin เช่นกัน รวมทั้งราคาของ Bitcoin ที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาในการขุดก็สูงขึ้น จึงทำให้การขุดเหรียญคริปโตมีเพิ่มมากขึ้น และพลังงานก็ถูกใช้ไปมากขึ้นเช่นกัน
แต่ความกังวลนี้ไม่ได้มีแค่มหาเศรษฐี Elon Musk คนเดียว ที่เป็นกังวลกับประเด็นนี้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทางด้านของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง Janet Yellen ได้ออกมากล่าวว่า การทำธุรกรรมด้วย ฺBitcoin นั้นยังไร้ประสิทธิภาพ และยังมีการใช้พลังงานเยอะมากอีกด้วย
คำตอบสำหรับเรื่องนี้นั้นยังตอบยาก เพราะ ณ ปัจจุบันนี้การขุด Bitcoin ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเทศจีน ซึ่งเป็นแหล่งของพลังงานถ่านหิน แต่ก็ยังมีการถกเถียงในเรื่องนี้อยู่ตลอด เนื่องมาจากก่อนหน้านี้เกิดน้ำท่วมที่แหล่งขุดเจาะถ่านหินทำให้ต้องหยุดฉะงักในการขุด Bitcoin รวมทั้งระบบคอมพิวเตอร์ต้องหยุดปฏิบัติการ ซึ่งก็มีบางส่วนอย่างมองโกเลีย ที่ออกมาบอกว่าต้องการให้หยุดการขุด Bitcoin เนื่องจากใช้พลังงานมากเกินไป ในขณะที่บางส่วนก็มองว่า การขุด Bitcoin สามารถใช้พลังงานทางเลือกได้ อย่างเช่นใน มณฑลเสฉวน ที่กำลังเป็นที่จับตามองของนักขุด Bitcoin มาก เพราะค่าไฟฟ้าที่ถูก รวมทั้งมีแหล่งใช้พลังน้ำ (Hydropower) ได้อีกด้วย
และเมื่อเดือนที่ผ่านมาทาง Square ของ Jack Dorsey และ Ark Invest ของ Cathie Wood ก็มีเอกสารยืนยันว่า Bitcoin เองจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดพลังงานสะอาดได้ นอกจากนี้ทาง Carol Alexander ศาสตราจารย์จาก University of Sussex Business School ก็ยังกล่าวเพิ่มเติวว่าจริง ๆ แล้วการทำธุรกรรมดิจิทัลด้วย Bitcoin นั้นแทบจะไม่ได้เกิดขึ้นบน Blockchain เพราะมันเกิดบนตลาดที่ 2 (Secondary markets) หรือบนแพลตฟอร์มการซื้อขายเหรียญสกุลเงินดิจิทัลออนไลน์ โดยผู้ใช้งานสามารถทำการซื้อขายระหว่างเงินกระดาษและสกุลเงินดิจิทัล โดยมีบริษัทหรือหน่วยงานเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน (Centralized exchanges)
Laith Khalaf นักวิเคราะห์ทางด้านสินเชื่อ ของบริษัทนักลงทุน AJ Bell มองว่า ณ ตอนนี้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมถือเป็นเรื่องที่ออนไหว และการที่ทาง Tesla ออกมาในครั้งนี้อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นให้บริษัทยักษ์ใหญ่อื่น ๆ หรือผู้สนับสนุน Bitcoin ได้เริ่มตระหนักถึงสิ่งที่กระทบกับสิ่งแวดล้อมนี้
อย่างไรก็ตามทาง Tesla ก็ยังไม่ได้มีการขาย Bitcoin และสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ที่มีมูลค่ากว่า 2.5 พันล้านดอลลาร์ออกไป อีกทั้งยังบอกว่า อนาคตของสกุลเงินดิจิทัลจะต้องเติบโตอย่างแน่นอน แต่ทาง Tesla จะกลับมาใช้ Bitcoin เมื่อสามารถลดปัญหาที่เกิดกับสิ่งแวดล้อมได้แล้ว
อ้างอิง: CNBC
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด