ก่อนหน้านี้ เราได้รู้ แนวคิดในการทำ Accelerator ของ DVA โครงการ Accelerator ใหม่ล่าสุดโดย Digital Ventures ที่มุ่งช่วยเหลือและเร่งให้สตาร์ทอัพเติบโตอย่างแท้จริงกันไปแล้ว ล่าสุดก็ได้มีการประกาศรายชื่อสตาร์ทอัพทั้ง 10 ทีมที่เข้ารอบสุดท้ายซึ่งจะได้เข้าสู่ Digital Ventures Accelerator หรือ DVA ใน Badge แรก (Badge 0) อย่างเป็นทางการ ทำให้หลายคนอยากรู้เหลือเกินว่า ทาง DVA มีเกณฑ์การคัดเลือกสุดเข้มข้นอย่างไรบ้างกว่าจะมาเป็น 10 ทีมที่เราเห็นกันนี้
วันนี้เราก็ได้คุณชาร์ล เจริญพันธ์ และคุณกัน เจติยา หัวหอกแห่ง DVA มาเปิดเผย 6 เกณฑ์หลักๆ ที่ใช้ในการคัดเลือกอย่างเข้มข้น พร้อมทั้งบอกเล่าถึงความน่าสนใจของแต่ละทีมที่มาเข้าร่วมโครงการ Accelerator DVA Batch 0 นี้
คุณชาร์ล - เราไม่รู้ว่าที่อื่นคนสมัครเยอะขนาดไหน แต่สำหรับเรา การมีผู้สมัครเกินกว่าที่เราตั้งเป้าไว้ถึง 50% ก็ถือว่าพอใจแล้ว คิดว่าเหตุผลหนึ่งที่คนให้ความสนใจ คงเป็นเพราะความแตกต่างของโปรแกรม เช่น จาก Feedback ที่ได้รับจากผู้เข้าสมัครหลายๆคน จะบอกว่าที่นี่ดูเป็น International Approach ในสายตา startup
ส่วนอีกเหตุผลก็น่าจะเป็นเพราะชื่อเสียงของธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ด้วย เพราะเป็นองค์กรที่ใหญ่และยังมี Market Value เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ รวมถึงทางธนาคาร SCB เองที่ส่งสารออกไปอย่างชัดเจนว่าต้องการจะช่วยสตาร์ทอัพจริงๆ ในเรื่อง Customer Acquisition หรือการสร้างฐานลูกค้าใหม่ และเรื่อง Branding ที่มีความน่าเชื่อถือ
กรรมการสำหรับคัดเลือกทีมเข้ามาร่วมโครงการ DVA แบ่งเป็นหลายส่วน คือ
เบื้องต้นจะดูจากโปรดักต์กับทีมก่อน เนื่องจากเป็น Accelerator ที่โฟกัสในการช่วย startup ด้าน Customer acquisition จึงมองถึงปัจจัยด้านความพร้อมของโปรดักต์เป็นสำคัญ แล้วดูต่อถึงความพร้อมและเป้าหมายของทีม ว่าทีมนั้นมีความสามารถในการพัฒนาโปรดักต์ได้ดีขนาดไหน เพราะเทคนิคและประสิทธิภาพเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งเรื่องคาดไม่ถึงก็คือ เกือบครึ่งของผู้สมัครมี Revenue (รายได้) แล้ว โดย 43% สามารถทำรายได้จาก Product และ 47% ของผู้สมัคร ได้มีการ Launch สินค้าออกสู่ตลาด นั่นคือข้อดี เพราะแสดงว่าโปรดักต์ได้ถูกพิสูจน์แล้วว่ามีผู้ใช้ต้องการจริงๆ
ในขั้นต่อไปเราจะดูเรื่องปัญหาที่เขาต้องการจะแก้ ดูว่าเขาตีปัญหาแตกขนาดไหน ส่วน Solution หรือวิธีแก้ปัญหานั้น ต้องดูว่าจะสามารถแก้ปัญหาได้ดีขนาดไหน รวมถึงความสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาด้วย เพราะ Innovation หรือ นวัตกรรม เกิดจาก 2 สิ่ง คือ 1. ความสามารถในการแก้ปัญหา (Ability) และ 2. ความสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหา (Creativity)
นอกจากนี้ ยังต้องดูความเข้าใจตลาดและประสบการณ์ในตลาดของผู้สมัคร เพราะจะทำให้เห็นว่าพวกเขามีความเชี่ยวชาญในตลาดที่พวกเขาจะแก้ปัญหานี้หรือไม่ หลายครั้งที่สตาร์ทอัพอยากจะแก้ปัญหาใดปัญหาหนึ่ง แต่กลับไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้มาก่อน ทำให้แก้ปัญหาได้ไม่ตรงจุด และไม่เข้าใจความต้องการของลูกค้าที่แท้จริง เพราะไม่เคยเจอปัญหานี้ด้วยตัวเองจริงๆ
ขั้นต่อไป ก็มาดูด้วยว่าเขาผูกพันและทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับโครงการขนาดไหน ด้วยการให้ทำอะไรที่ต้องใช้ทั้งเวลาและความคิดว่า แล้วดูว่าพวกเขาพร้อมที่จะทำเสร็จมันตรงเวลาหรือเปล่า เช่น หลังสัมภาษณ์อาจจะมีการเทสต์ให้ไปคุยกับลูกค้า ระบุว่าคุยกับลูกค้ากี่คน และ ให้ Deadline แล้วเอาการบ้านมาส่ง
นอกจากนี้ ถ้าทีมนั้นมีโปรดักต์และลูกค้าเรียบร้อยแล้ว ก็ดูว่าความพร้อมที่จะเรียนแบบ Full-time เพราะมองว่าเป็น Commitment อย่างหนึ่ง แต่ถ้าทีมไหนยังไม่ได้พิสูจน์ Product และ Market fit ขนาดนั้น ก็จะเทสต์ดูว่าพวกเขายึดมั่นกับไอเดียนี้ขนาดไหน ผลปรากฏว่า 66% ของผู้สมัครทั้งหมดเต็มใจที่จะลาออกจากงานและให้เวลากับการทำโปรดักต์ของตัวเองอย่างเต็มที่ ส่วนทีมที่เราคัดมา 10 ทีมล้วนเป็นทีมที่พร้อมจะเข้ามาเรียนแบบ Full-time
Passion สามารถดูได้จากเวลาพูดถึงปัญหา ตาเป็นประกายไหม อินแค่ไหน และทำให้กรรมการเคลิ้มและอินไปด้วยได้แค่ไหน เพราะบางทีปัญหาอาจจะเล็กๆ แต่ถ้าสามารถโน้มน้าวกรรมการให้เชื่อได้ว่ามันเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขจริงๆ ปัญหานั้นอาจจะไม่เล็กอย่างที่เราคิดและมีความเป็นไปได้ในการพัฒนาเป็นธุรกิจที่มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้
สุดท้ายแล้ว เราต้องมา Brainstorm ดูว่า ทีม DV และ SCB เอง สามารถช่วยอะไรเขาในมุมไหนได้บ้าง
ดังนั้น ในการตัดสินใจเลือกเพียงแค่ 10 ทีมนั้น ถือเป็นโจทย์ที่ยากสำหรับทาง DVA เหมือนกัน เพราะไม่เพียงแค่จะช่วยให้เค้าเติบโตได้ แต่ยังต้องการช่วยผลักดันให้สตาร์ทอัพทุกทีมเป็นที่หนึ่งในอุตสาหกรรมของเขาด้วย โดยการพยายามสร้าง Ecosystem ให้พร้อมที่สุดสำหรับสตาร์ทอัพเหล่านี้ ทั้ง ความรู้ เงินลงทุน และฐานลูกค้า เพราะฉะนั้น แต่ละทีมก็ต้องมีความพร้อมด้วยเช่นกัน โดย 10 ทีมที่ได้มานั้น แบ่งเป็น สตาร์ทอัพด้าน Fintech 6 ทีม และทีม ที่ไม่ใช่สาย Fintech อีก 4 ทีม
สัดส่วนประเภทธุรกิจจากทีมผู้สมัครทั้งหมด
คุณกัน - ความจริงแล้ว เราก็ยังไม่ได้ประกาศเลยว่าทีมไหนได้ใครเป็น Mentor เพราะเราตั้งใจที่จะ Customize โดยการหาผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของแต่ละทีมจริงๆ เช่น บางทีมก็จะได้ Mentor จากธนาคารเพราะว่าทำเกี่ยวกับ Fintech เพื่อจะได้ติดต่อกับแผนกของธนาคารที่เกี่ยวข้องโดยตรง หรือถ้าธุรกิจไม่ได้เกี่ยวกับ Fintech เราก็จะไปหาคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนั้นๆ มาเป็น Mentor ให้เขาโดยตรง โดยมีการสอบถามความต้องการของแต่ละทีมด้วย
คุณชาร์ล - DVA จึงไม่ได้เลือกแต่คนมีชื่อเสียงในวงการสตาร์ทอัพมาพูดเพียงอย่างเดียว แต่เลือกผู้เชี่ยวชาญจริงๆ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในวงการก็ตาม เพราะเราเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์และอาจได้ Connection ที่ดีด้วย ส่วน Core Mentor คิดว่าควรเป็นคนใน DV เพราะจะต้องอยู่กับทีมสตาร์ทอัพทุกวัน แล้วก็จะมีเชิญ Speakers จากต่างประเทศมาให้คำแนะนำด้วย
คุณชาร์ล – Curriculum ทั้ง 6 เดือนเต็มของเรานั้น ใน 3 เดือนแรก เราจะปูพื้นให้สตาร์ทอัพด้วย 1. Essential Course จะสอนสิ่งที่ Startup ต้องรู้ตั้งแต่ต้นจนจบ 2. Legal Course ให้ความรู้ด้านกฎหมายที่สำคัญในการตั้งบริษัทและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ และ 3. Finance Course ให้ความรู้ด้านการเงิน ซึ่งจะสอนแบบ 1 ต่อ 1 เพราะแต่ละทีม ก็มีความต้องการที่แตกต่างกัน ในเบื้องต้นทาง DVA ได้มีพาร์ทเนอร์หลักอย่าง Google, Microsoft, Baker & Mckenzie, PrimeStreet Advisory เป็นต้น และกำลังจะมีพาร์ทเนอร์อื่นๆ ตามมาอีก
คุณชาร์ล - ช่วงที่คนมาสมัครแรกๆ เรายังไม่แน่ใจเท่าไรว่าแต่ละทีมจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่พอเปิดรับสมัครมาเรื่อยๆ ก็มีหลายทีมที่ทำให้เราทึ่งว่าสตาร์ทอัพเมืองไทยก็กล้าทำอะไรที่เป็นเทคนิคเชิงลึก ไม่ได้มีแค่ Marketplace ใหม่ๆ แต่ยังมีแพลตฟอร์มเกี่ยวกับไอทีจริงๆ เรียกได้ว่าเป็น Deep tech ตัวอย่างเช่น ทีมที่ทำเกี่ยวกับ Blockchain หรือ ทีมที่ทำด้าน Mobility หรือยานยนต์ ซึ่งน่าจะเป็นเทรนด์ที่กำลังจะมาแรงในปีหน้า โดย 10 ทีมที่เข้ารอบนั้นได้แก่
Convolab - AI Chatbot เพื่อแก้ปัญหาให้แต่ละธุรกิจตามความต้องการ
ETRAN - นวัตกรรมด้านคมนาคมขนส่งแบบอิเล็กทรอนิกส์
FlowAccount - เทคโนโลยี Cloud แก้ปัญหาด้านบัญชีสำหรับธุรกิจรายย่อย
KYC-Chain - เทคโนโลยี Distributed Ledger หรือ Blockchain เพื่อใช้ในกระบวนการ KYC (Know Your Customer)
OneStockHome - แหล่งจำหน่ายอุปกรณ์ก่อสร้างคุณภาพผ่านระบบออนไลน์ในราคาที่ถูกกว่า
Peer Power - Marketplace กู้ยืมเงินแบบ Peer-to-peer ระหว่างลูกค้าในไทย
PetInsure - บริการทำประกันออนไลน์สำหรับสัตว์เลี้ยงเจ้าแรกในไทย
Plizz - บริการทำบัญชีออนไลน์อย่างครอบคลุมให้กับ SMEs
Refinn - บริการรีไฟแนนซ์อสังหาฯออนไลน์ที่ง่าย ปลอดภัย และไว้ใจได้
Seekster - บริการ On-demand Marketplace ระหว่างผู้บริโภคและ SMEs
คุณกัน - ความจริงเราคิดว่าจะได้สัมภาษณ์แค่ 20-25 ทีม แต่สุดท้ายเราก็เรียก 35 ทีมเข้ามาสัมภาษณ์เพราะเลือกยากมากและไม่อยากตัดโอกาสทีมไหนเลย บอกเลยว่ากว่าจะมาเป็น 10 ทีมสุดท้ายนี่ กรรมการทุกคนตัดสินใจยากมากและหนักใจมากจริงๆ
คุณชาร์ล : ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากรับทั้ง 35 ทีมที่เราสัมภาษณ์ แต่เรารับได้แค่ 10 ทีมเท่านั้นเพราะก็ต้องควบคุมคุณภาพด้วย ตอนนี้เราจึงวางแผนจะสร้างอีกโปรแกรมขึ้นมาเพื่อพาร์ทเนอร์กับหลายๆ ทีมที่ไม่ได้เข้ารอบ นอกจากนี้หากเรามีกิจกรรมหรือ event ไหนน่าสนใจ เราก็อยากเชิญ startup มาร่วมกิจกรรมด้วยเช่นกัน การคัดเลือกสตาร์ทอัพ 10 ทีมสุดท้ายของ DVA ก็ได้ผ่านไปแล้วอย่างเข้มข้น โดยคัดบรรดาหัวกะทิมาร่วมโครงการ ตั้งแต่ กรรมการ Mentor ไปจนถึงผู้ผ่านเข้ารอบแต่ละทีมเลย เป็นที่น่าติดตามสำหรับโครงการ Accelerator แนวใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ และคาดว่าเราจะมีโอกาสได้รู้จักแต่ละทีมมากขึ้นอีกในงานเปิดตัวของ DVA ที่จะจัดขึ้นในเร็ววันนี้ด้วย
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด