ปัจจุบันเราได้ก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบ การทำธุรกิจจำเป็นต้องวางอยู่บนพื้นฐานของการใช้เทคโนโลยี ข้อมูล และระบบอัตโนมัติ นั่นหมายถึงการมีโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่แข็งแรงเท่านั้น จะทำให้ธุรกิจเดินหน้าต่อได้ จึงเป็นคำตอบว่าทำไมระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) ถึงตอบโจทย์ เพราะสามารถจัดการทุกองค์ประกอบทั้งห่วงโซ่ของธุรกิจไว้ในที่เดียว
ในบทความนี้ Techsauce จะชวนทุกท่านมาเจาะหัวใจของการทำธุรกิจยุคดิจิทัล ซึ่งเป็นบทสรุปสาระสำคัญจากงาน “Techsauce x Hitachi: Leveraging ERP for Business Transformation Transform ธุรกิจ ยกระดับการทำงานด้วย ERP” ที่เป็นความร่วมมือระหว่าง Techsauce และ Hitachi Vantara เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2565
คุณปริญญ์ นงค์นวล Country Head บริษัท Hitachi Vantara ประเทศไทย ได้เล่าถึงความพยายามขององค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในการ Transform องค์กรให้เป็นดิจิทัล ซึ่งพบว่าหลายองค์กรไม่เข้าใจวิธีการเปลี่ยนแปลงองค์กรไปสู่ดิจิทัลที่ถูกต้อง
เช่น บางองค์กรเพียงนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในการทำงานเท่านั้น เพื่อหวังจะเปลี่ยนระบบการทำงานให้เป็นดิจิทัล ซึ่งไม่เพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลง โดยคุณปริญญ์ได้ยกตัวอย่าง 3 หัวใจในการ Transform องค์กรสู่ดิจิทัลให้สำเร็จ ได้แก่
คุณศรมณ สมคะเน Senior Manager, Digital Solution Practice บริษัท Hitachi Vantara ประเทศไทย ได้ยกตัวอย่างจากการวิจัยของ Hitachi พบว่า ปัจจุบันองค์กรให้ความสำคัญกับการนำมาใช้ (Execution) มากกว่าการวางแผนและวางกลยุทธ์ ซึ่งกลายเป็นปัญหากับการบริหารต้นทุนให้เกิดประสิทธิภาพและองค์กรขาดความยืดหยุ่น
ซึ่งหากองค์กรต้องการเพิ่มประสิทธิภาพให้ Supply Chain ต้องให้ความสำคัญกับการวางแผนและวางกลยุทธ์มากขึ้น โดยคุณสรมนได้ยกตัวอย่าง Key Success Factor ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ Supply Chain ดังนี้
ระบบ ERP จะสามารถตอบโจทย์ข้อนี้ได้ ด้วยความสามารถในการทำระบบอัตโนมัติ หรือใช้ AI, Machine Learning, RPA, IoT เป็นต้น ช่วยให้องค์กรทำงานร่วมกับทั้ง Ecosystem ของธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยระบบ ERP สามารถวิเคราะห์ข้อมูล และจัดทำเป็น Dashboard เพื่อวัดประสิทธิภาพ หรือ KPI และทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ และกำหนดทิศทางการเปลี่ยนแปลงขององค์กร
ซึ่งระบบ ERP จะช่วยขับเคลื่อนระบบการขาย และสามารถรวมช่องทางที่หลากหลายมาไว้ที่เดียว เพื่อประสบการณ์ผู้บริโภคที่ไร้รอยต่อ นอกจากนั้นยังสามารถทำ Predictive Analytics ด้วยการใช้ AI, Machine Learning ได้ด้วย
ระบบ Analytics และ Machine Learning ของ ERP ในปัจจุบัน สามารถช่วยทำ Product portfolio, Market trend และ Customer affiliation ได้
ใน Session นี้ คุณนพดล เจริญทอง Head of Mid-Market for Thailand and Emerging, SAP Indochina บริษัท SAP ประเทศไทย ได้ยกตัวอย่างการใช้งานระบบ ERP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจในยุคดิจิทัล และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
โดยคุณนพดลเริ่มด้วยการกล่าวถึงความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจมองว่าการเปลี่ยนแปลงธุรกิจเป็นสิ่งจำเป็น และต้องทำทันที
งานวิจัยของ KPMG ระบุว่า ปัจจุบัน
จากความต้องการเหล่านี้เอง ทำให้ SAP มองหาวิธีการที่จะมาช่วยลูกค้าพัฒนาองค์กรให้เป็น Intelligence Enterprise ให้ได้
ด้วย Intelligent suite ที่ตอบโจทย์ธุรกิจในยุคใหม่ สามารถตรวจสอบข้อมูลของทุกกระบวนการธุรกิจ ลดกระบวนการทำงานที่ซ้ำซ้อน และเชื่อมต่อข้อมูลจากทุก Business Network ได้อย่างประสิทธิภาพ สามารถวัดและประเมินผลการทำงานได้อย่างแม่นยำ รวมถึงตอบโจทย์เป้าหมายความยั่งยืน และช่วยให้องค์กรนำเทคโนโลยีมาช่วยทำงานอย่างเกิดประโยชน์มากที่สุด
ด้วยความต้องการและวิธีการทำงานที่แตกต่างกันไปในทุกอุตสาหกรรม ทำให้ธุรกิจต้องมองหาระบบที่เหมาะสมที่สุด โดยคุณนพดลได้ยกตัวอย่างระบบ SAP S/4 HANA ซึ่งเป็นระบบ ERP ที่ตอบสนองมากกว่า 25 Industry Solution สามารถครอบคลุมกระบวนการทำงานตั้งแต่ต้นจนถึงปลายน้ำ ตั้งแต่ซื้อวัตถุดิบมาออกแบบ ผลิต จนไปถึงการส่งสินค้าถึงมือลูกค้า ซึ่งข้อมูลที่จัดเก็บได้จากทุกกระบวนการ จะถูกจัดเก็บในระบบ
คุณนพดลกล่าวต่อไปว่า สถานการณ์โควิด-19 ทำให้หลายองค์กรมองเรื่องการนำนวัตกรรมมาใช้ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้า Gen ใหม่ ๆ ที่ต้องการพัฒนาหลังบ้านของธุรกิจให้แข็งแกร่ง โดยใช้ระบบ ERP ที่สามารถให้ข้อมูล end to end ได้ และให้ได้แบบ Real Time เพื่อการตัดสินใจที่แม่นยำและรวดเร็ว
โดยระบบ S/4 HANA นั้น เป็นการผสานระหว่างกระบวนการแบบครบวงจรของธุรกิจ กับ Industry Solution ผนวกกับการ ใช้ AI และ Machine Learning มาลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน เพื่อลดข้อมูลบางอย่างที่ไม่จำเป็น และนำข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์
นอกจากนั้น ระบบ S/4 HANA ยังสามารถจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลใน Data Warehouse ทำให้ตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจที่มีข้อมูลมาจากหลาย ๆ แหล่ง และยังมีเครื่องมือสำหรับสร้างแอปพลิเคชันด้วย
สำหรับ Session สุดท้ายของงาน เป็นการยกตัวอย่างกรณีศึกษาจากธุรกิจที่เปลี่ยนมาใช้ระบบ ERP ที่ตอบโจทย์กับการแข่งขันในยุคดิจิทัล เบื้องหลังสำคัญของเชนร้านอาหารยักษ์ใหญ่ ที่ทำธุรกิจมายาวนานกว่า 35 ปี และมีสาขากว่า 100 แห่ง ทั่วประเทศ
โดยผู้เชี่ยวชาญในระบบ ERP และตัวแทนจากภาคธุรกิจมาร่วมสนทนากัน ได้แก่
สำหรับคำถามนี้ คุณเรืองชายกล่าวว่าธุรกิจต้องให้ความสำคัญกับ Future Consumer Behavior หรือพฤติกรรมผู้บริโภคในอนาคต โดยยกตัวอย่างจากการวางแผนและเตรียมพร้อมของ Food Passion
“การเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ มันเกิดขึ้นเพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และการลงทุนในเทคโนโลยีถูกลงมาก ทำให้คนเข้าถึงเทคโนโลยีได้เยอะ และเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรม ดังนั้นเราจึงให้ความสำคัญมากกับ Future Consumer Behavior”
“เราพูดถึงการดิสรัปชันของดิจิทัลมาตั้งแต่เมื่อ 4 ปีที่แล้ว และวางแผนเรื่องนี้ตั้งแต่ยุคนั้น เรามองว่าในปี 2030 เทรนด์ผู้บริโภคในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะการกิน ไลฟ์สไตล์ การดูแลสุขภาพ การเดินทาง การทำงาน เอ็นเตอร์เทนเมนท์ และการใช้เทคโนโลยี จะเปลี่ยนไปยังไงบ้าง”
โดยคุณเรืองชายอธิบายต่อไปว่า Food Passion เอาเทรนด์ผู้บริโภคเป็นโจทย์ตั้งต้น จากนั้นจึงเริ่มกลับมาออกแบบกลยุทธ์ต่อไป นอกจากนั้นยังเสริมว่าหากธุรกิจจะก้าวทันการเปลี่ยนแปลง ต้องเข้าใจ Mega Trend และต้องเข้าใจว่าเมื่อผู้บริโภครับเทรนด์นั้นมาแล้ว จะมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
คุณเรืองชายกล่าวว่า เดิมที Food Passion เองก็มีการใช้ระบบ ERP มาอยู่แล้ว แต่เมื่อต้องเข้าสู่สนามแข่งขันในยุคดิจิทัลที่มีข้อมูลมหาศาล ทำให้ระบบเก่าไม่สามารถรองรับได้ ต้องหาโซลูชันใหม่ ๆ เข้ามาช่วย
“แน่นอนบริษัทที่อยู่มา 35 ปี กระดูกสันหลังมันไม่รองรับหรอก มันเหมือนร่างกาย เหมือนเราจะพาคุณปู่อายุ 50 ปี ไปแข่งโอลิมปิก สุดท้ายจะเจ็บกลับมา เดิมเราก็ใช้ ERP มานานแล้ว แต่การเข้าไปแข่งในสนามดิจิทัล Information หรือ Transaction ที่วิ่งเข้ามา มันไม่สามารถรองรับ Transaction เป็นพัน หมื่น แสนต่อวันได้”
คุณปริญญ์กล่าวว่า วิวัฒนาการของระบบ ERP ในอดีตเป็นเพียงระบบการทำบัญชี ที่สามารถเก็บข้อมูลการขาย การจัดซื้อ และทำเป็นรายงานออกมา แต่ในปัจจุบัน ด้วยความต้องการและพฤติกรรมผู้บริโภคที่หลากหลาย รวมถึงการดิสรัปของเทคโนโลยี ทำให้ระบบ ERP แบบเก่าไม่ตอบโจทย์ และไม่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ธุรกิจ
ซึ่งคุณปริญญ์มองว่า อย่างน้อยระบบ ERP ที่จะแข่งขันได้ในยุคดิจิทัล จำเป็นต้องมีความสามารถในการประมวลผลข้อมูล
“ตัวระบบ ERP ต้องรองรับการประมวลผลข้อมูล และวิเคราะห์ ทำนายสิ่งที่จะเกิดได้ แน่นอนว่าทุกธุรกิจมีข้อมูล แต่จะต้องมีระบบ ERP ที่สามารถเอาข้อมูลนั้นไปวิเคราะห์และต่อยอดได้ด้วย เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูลเหล่านั้น”
คุณปริญญ์กล่าวว่า ในยุคนี้ ERP เหมาะกับทุกองค์กร เพราะทุกองค์กรควรจะรู้ว่าการทำงานของเรามีจุดประสบความสำเร็จอยู่ตรงไหนตรงไหน และมีจุดไหนเป็นจุดอ่อน นอกจากนั้น การใช้ระบบ ERP จะทำให้ธุรกิจทำงานอยู่บนพื้นฐานของข้อมูล
อย่างไรก็ตาม คุณปริญญ์ย้ำว่าองค์ไม่สามารถใช้ระบบ ERP ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตราบใดที่ยังไม่มีการทบทวนกระบวนการทำงานใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามหัวใจสำคัญ อย่างที่คุณปริญญ์ได้กล่าวตอนต้น
ระบบ ERP ในปัจจุบันจะมี Best Practice ของกระบวนการทำงานในหลาย ๆ อุตสาหกรรมให้องค์กรนำมาปรับใช้ได้ด้วย ทำให้นำ ERP มาใช้ในองค์กรได้ในระยะเวลาอันสั้น
คุณสรมนกล่าวเสริมว่า ทุกธุรกิจ ณ ปัจจุบันต้องรีบเปลี่ยนแปลงให้ทันผู้บริโภค และการพัฒนา--ของเทคโนโลยี เพราะฉะนั้นควรเริ่มใช้ระบบ ERP ได้ทันที ซึ่งระบบ ERP ของ SAP ได้ทำมาหลายรูปแบบ ทั้งองค์กรขนาดเล็ก ไปจนถึงองค์กรระดับใหญ่
ในส่วนของคุณนพดลกล่าวว่า เดิมทีเรามีความเข้าใจว่าเข้าใจว่าระบบ ERP จะใช้ได้กับองค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ในความเป็นจริง ลูกค้ามากกว่า 80 % ของ SAP คือกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) ไปจนถึงมหาวิทยาลัย ภาครัฐ ภาคธุรกิจและโรงแรม เพราะระบบ ERP เป็นระบบที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ ดังนั้นมันสามารถปรับเปลี่ยนเข้ากับทุกรูปแบบธุรกิจ
คุณเรืองชายกล่าวว่า การมีส่วนร่วมจากผู้บริหารระดับสูงในองค์กร เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ การใช้ระบบ ERP เกิดประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในระดับเจ้าของธุรกิจ นอกจากนั้น Business Owner ในแต่ละส่วนงานก็จำเป็นต้องมีส่วนร่วมในการออกแบบกระบวนการใช้งานระบบ ERP ไปพร้อม ๆ กัน
และสุดท้าย เนื่องจากระบบ ERP จะเกี่ยวข้องกับคนในองค์กรหลายภาคส่วน นอกจากนั้นยังต้องติดต่อกับ Supplier ด้วย เพราะฉะนั้น Project Management สำคัญมาก ที่จะต้องทำงานร่วมกับทุก Stakeholder
ในส่วนของคุณนพดล ได้เล่าถึงประสบการณ์การทำงานร่วมกับผู้บริหารขององค์กร ซึ่งตนย้ำเสมอว่า ผู้บริหารจำเป็นต้องทำให้แผนการใช้งานระบบ ERP นี้ เป็น Coporate Project ที่คนทั้งองค์กรจำเป็นต้องมีส่วนร่วม ซึ่งร่วมถึงการที่เจ้าของธุรกิจและผู้บริหารระดับสูง ต้องลงมามีส่วนร่วมด้วย ที่สำคัญคือการมีส่วนร่วมของพนักงาน เพราะเมื่อผู้บริหารให้พนักงานมีส่วนร่วม พนักงานจะรู้สึกได้ถึงความสำคัญที่ผู้บริหารมีต่อแผนงานนี้ และให้โอกาส มอบอำนาจหน้าที่ให้พวกเขาได้มีส่วนร่วม ได้เรียนรู้
อีกอย่างที่สำคัญคือ partner ที่เราเลือกมาช่วยเรา ก็ต้องมีความรู้ความเข้าใจในธุรกิจที่เราทำ ใน process ของธุรกิจเรา
คุณสรมนกล่าวเสริมว่า การจะใช้ระบบ ERP ให้สำเร็จเหมือนการสร้างบ้าน ที่ทุกภาคส่วนในองค์กรจะต้องมีส่วนร่วม
“บ้านหลังนี้ทั้งผู้บริหารและพนักงานทุกคนอยู่ในหลังเดียวกัน เพราะฉะนั้นในการสร้างบ้าน การวางรากฐานแบบแปลนสำคัญที่สุด ถ้าเราตกลงกันให้ดีว่า เราอยากมีห้องกี่ห้อง วางของตรงไหน เราก็จะอยู่บ้านอย่างมีความสุข ทุกคนที่อยู่ในบ้านต้องมาร่วมดีไซน์ด้วยกัน จะทำให้การใช้งาน ERP ราบรื่น”
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด