
ท่ามกลางกระแสความตื่นตัวของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางธุรกิจทั่วโลก การ์ทเนอร์ อิงก์ (Gartner, Inc.) บริษัทที่ปรึกษาและวิจัยชั้นนำ ได้ออกมาส่งสัญญาณเตือนถึงผู้บริหารระดับสูงด้านสารสนเทศ (CIO) ให้ตระหนักถึง 'จุดบอด' หรือความเสี่ยงที่มองไม่เห็นจากการนำ Generative AI มาใช้งาน ซึ่งหากละเลยอาจนำไปสู่ความล้มเหลวในโครงการ AI และสร้างความเสียหายต่อองค์กรในระยะยาว โดยการ์ทเนอร์เน้นย้ำว่าผู้บริหารต้องเร่งดำเนินการเชิงรุกเพื่อจัดการกับความท้าทายที่ซ่อนเร้นเหล่านี้ เพื่อให้การลงทุนในเทคโนโลยีมีความคุ้มค่าและยั่งยืน
คุณอรุณ จันทรเศกการัน รองประธานนักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์ ได้ฉายภาพสถานการณ์ปัจจุบันว่า เทคโนโลยีและเทคนิคการใช้งาน GenAI กำลังพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด ประกอบกับความคาดหวังที่สูงลิ่วขององค์กร ทำให้ CIO ต้องเผชิญกับบททดสอบสำคัญในการนำพาองค์กรฝ่าคลื่นความเปลี่ยนแปลง แม้ว่าหลายองค์กรจะให้ความสำคัญกับประเด็นหลักอย่างคุณค่าทางธุรกิจ ความปลอดภัย และความพร้อมของข้อมูล แต่พวกเขามักมองข้ามความเสี่ยงระดับรองที่ไม่ปรากฏชัดเจนในทันที อาทิ ปัญหา Shadow AI, หนี้ทางเทคนิค, การเสื่อมถอยของทักษะบุคลากร, ประเด็นเรื่องอธิปไตยของข้อมูล รวมถึงปัญหาการทำงานร่วมกันและการผูกขาดกับผู้ให้บริการรายเดียว ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เปรียบเสมือนคลื่นใต้น้ำที่พร้อมจะบั่นทอนความสำเร็จในระยะยาว หากไม่ได้รับการแก้ไข การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าภายในปี 2573 จุดบอดเหล่านี้จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่แบ่งแยกองค์กรที่ประสบความสำเร็จในการใช้ AI ออกจากองค์กรที่ล้มเหลวหรือถูกเทคโนโลยีดิสรัปต์จากภายใน
หนึ่งในความท้าทายที่น่ากังวลที่สุดคือการขยายตัวของ Shadow AI หรือการแอบใช้เครื่องมือ AI โดยไม่ได้รับอนุญาต จากผลสำรวจของการ์ทเนอร์ในช่วงต้นปี 2568 พบว่า 69% ขององค์กรมีข้อสงสัยหรือมีหลักฐานชัดเจนว่าพนักงานกำลังใช้ GenAI สาธารณะที่องค์กรห้ามใช้ การนำเครื่องมือเหล่านี้มาใช้อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์อาจนำไปสู่การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์ที่รุนแรง โดยมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2573 กว่า 40% ขององค์กรจะเผชิญกับเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับ Shadow AI ดังนั้น CIO จึงจำเป็นต้องกำหนดนโยบายการใช้งานที่ชัดเจน ควบคู่ไปกับการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ และบูรณาการการประเมินความเสี่ยง GenAI เข้ากับกระบวนการตรวจสอบซอฟต์แวร์ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
ความตื่นเต้นในความสามารถของ GenAI ที่สร้างผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว อาจทำให้องค์กรหลงลืมราคาที่ต้องจ่ายในภายหลังในรูปแบบของ 'หนี้ทางเทคนิค' การ์ทเนอร์ประเมินว่าภายในปี 2573 องค์กรถึง 50% จะต้องเผชิญกับปัญหาความล่าช้าในการอัปเกรดระบบ หรือแบกรับต้นทุนการบำรุงรักษาที่พุ่งสูงขึ้นจากการจัดการ GenAI ที่ไม่มีประสิทธิภาพ อรุณชี้ว่าค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม ปรับปรุงโค้ด หรือเนื้อหาที่ AI สร้างขึ้นนั้นมหาศาล และอาจกัดกร่อนผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) จนหมดสิ้น ทางออกของเรื่องนี้คือการสร้างมาตรฐานที่เข้มงวดในการตรวจสอบสินทรัพย์ที่สร้างโดย AI และการติดตามตัวชี้วัดหนี้ทางเทคนิคผ่านแดชบอร์ด เพื่อให้องค์กรสามารถบริหารจัดการและป้องกันปัญหาได้ก่อนที่จะบานปลาย
ในยุคที่ข้อมูลคือขุมทรัพย์ กฎระเบียบระหว่างประเทศกำลังกลายเป็นอุปสรรคสำคัญ การ์ทเนอร์คาดว่าภายในปี 2571 รัฐบาลทั่วโลกกว่า 65% จะบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับอธิปไตยทางเทคโนโลยีเพื่อป้องกันการแทรกแซงจากต่างชาติ ข้อจำกัดในการแบ่งปันข้อมูลข้ามพรมแดนนี้อาจส่งผลให้การปรับใช้ AI ในระดับองค์กรทำได้ล่าช้า และเพิ่มต้นทุนการเป็นเจ้าของ (TCO) อย่างมีนัยสำคัญ เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ CIO จะต้องผนวกแนวคิดเรื่องอธิปไตยของข้อมูลเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ AI ตั้งแต่ต้น โดยทำงานร่วมกับฝ่ายกฎหมายและเลือกใช้ผู้ให้บริการที่มีความยืดหยุ่นและตอบโจทย์ข้อกำหนดในแต่ละภูมิภาค
อีกหนึ่งจุดบอดที่มักถูกละเลยคือผลกระทบต่อทรัพยากรมนุษย์ การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจนำไปสู่ภาวะ 'การเสื่อมถอยของทักษะ' ซึ่งทำให้ความเชี่ยวชาญ วิจารณญาณ และภูมิปัญญาโดยนัยของพนักงานลดน้อยลง ความเสี่ยงนี้จะปรากฏชัดเมื่อระบบ AI ล้มเหลวและองค์กรขาดบุคลากรที่มีสัญชาตญาณหรือความรู้เพียงพอที่จะเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ เพื่อป้องกันปัญหานี้ องค์กรควรกำหนดขอบเขตงานที่ต้องใช้การตัดสินใจของมนุษย์ให้ชัดเจน และออกแบบโซลูชัน AI ให้ทำหน้าที่เป็นเพียง 'ผู้ช่วย' ที่เสริมศักยภาพ ไม่ใช่ 'ผู้แทนที่' ที่มาลดทอนคุณค่าของมนุษย์
ท้ายที่สุด การเร่งรีบนำ GenAI มาใช้มักทำให้องค์กรเลือกผูกติดกับผู้ให้บริการรายเดียวเพื่อความสะดวกสบาย แต่การกระทำดังกล่าวอาจนำไปสู่ภาวะ Vendor Lock-In ซึ่งลดทอนอำนาจต่อรองและจำกัดความคล่องตัวขององค์กรในอนาคต ผู้บริหาร CIO หลายรายมักประเมินความซับซ้อนของการเชื่อมโยงข้อมูลและโมเดลต่ำเกินไป จนนำไปสู่การยึดติดกับระบบปิดของผู้ให้บริการ การ์ทเนอร์แนะนำให้องค์กรให้ความสำคัญกับสถาปัตยกรรมแบบเปิด และ API ที่มีความยืดหยุ่น เพื่อหลีกเลี่ยงการผูกขาดและสร้างระบบนิเวศทางเทคโนโลยีที่ยั่งยืนและปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด