ถอดบทเรียนมาเลเซีย-เวียดนาม ใช้ Hardware-in-the-Loop (HIL) สร้างนวัตกรรมให้ชาติอย่างไร

การทดสอบนวัตกรรมยานยนต์และพลังงานยุคใหม่บนของจริงนั้น อันตรายร้ายแรง

นี่ไม่ใช่คำขู่ แต่คือคำเตือนที่ระบุชัดเจนในรายงานวิจัยของประเทศเพื่อนบ้านเรา งานวิจัยจากมาเลเซีย ยืนยันว่า การทดสอบระบบพวงมาลัยยุคใหม่ (Steer-by-Wire) บนรถจริงนั้นอันตรายอย่างยิ่งและอาจนำไปสู่อุบัติเหตุร้ายแรง 

ในขณะที่งานวิจัยจากเวียดนาม ก็เตือนเช่นกันว่า การทดสอบระบบ Power Electronics (เช่น Inverter) ที่มีไฟฟ้าแรงสูงโดยขาดการจำลอง อาจนำไปสู่ความเสียหายร้ายแรงที่อาจทำให้เกิดไฟไหม้หรือระเบิด

ด้วยเหตุนี้ โลกวิศวกรรมยุคใหม่จึงไม่ข้ามขั้นไปเสี่ยงบนของจริง พวกเขาใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Digital Twin และ Hardware-in-the-Loop (HIL) Simulation

HIL คือการสร้าง สนามซ้อมดิจิทัล หรือ Digital Twin ของรถทั้งคันหรือกริดไฟฟ้าทั้งประเทศ แล้วนำสมองกลจริง เช่น ECU หรือระบบควบคุม มาเสียบ in-the-Loop เพื่อซ้อมรับมือกับหายนะนับพันครั้งในแล็บที่ปลอดภัย 100%

แต่ในขณะที่โลกกำลังแข่งขันกันที่สนามซ้อมดิจิทัล นี้ ประเทศไทยกลับ 'เพิ่งจะเริ่มต้น' สร้างเครื่องมือชิ้นสำคัญนี้ ในขณะที่เพื่อนบ้านทำมานานแล้ว มาดูกันดีกว่าว่าเพื่อนบ้านแต่ละแห่งใช้ HIL ไปกับอะไรบ้าง

ส่องวิธีคิดเพื่อนบ้าน ทำไม HIL ถึงสำคัญ ?

เราเห็นแล้วว่า HIL จำเป็นต่อความปลอดภัย แต่อะไรคือวิธีคิดเชิงกลยุทธ์ ที่ทำให้เพื่อนบ้านเราอย่างมาเลเซียและเวียดนามทุ่มทุนกับเทคโนโลยีนี้ก่อนเรา ?

คำตอบคือ พวกเขามอง HIL ไม่ใช่แค่เครื่องมือทดสอบแต่เป็นสิ่งจำเป็นที่ใช้แก้ปัญหาสำคัญ 2 ด้าน นั่นคือ

  • การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) - ใช้ HIL ป้องกันความเสี่ยงระดับชาติที่ยอมรับไม่ได้ (เช่น กริดล่ม, อุบัติเหตุจากเทคโนโลยีใหม่) 
  • การเร่งเครื่องนวัตกรรม (Innovation Engine) - ใช้ HIL ลดเวลาและต้นทุนในการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อสร้างนวัตกรรมของตัวเองออกสู่ตลาดโลกได้เร็วขึ้น


ถอดบทเรียนมาเลเซีย จากแก้ปัญหาชาติ สู่สอนเด็ก ป.ตรี

มาเลเซียใช้ HIL ทั้งในกลยุทธ์ Top-Down (แก้ปัญหาใหญ่) และ Bottom-Up (สร้างคน) ได้อย่างน่าสนใจ โดยการไฟฟ้าแห่งชาติมาเลเซีย (Tenaga Nasional Berhad) ครั้งนึงพวกเขาเผชิญปัญหาระดับชาติ นั่นคือ ทำอย่างไรที่จะทดสอบระบบป้องกันพิเศษที่ซับซ้อนกับโครงข่ายไฟฟ้าขนาดมหึมา 1,100-bus 

คำว่า Bus ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงรถยนต์ แต่คือสถานีเชื่อมต่อหรือชุมทางหลักของระบบไฟฟ้า ซึ่งหมายความว่านี่คือการจำลอง Digital Twin ของกริดระดับชาติที่มีชุมทางหลักซับซ้อนถึง 1,100 แห่ง แน่นอนว่าจะให้ทดสอบบนกริดของจริงคงแทบเป็นไปไม่ได้

การไฟฟ้าแห่งชาติมาเลเซีย จึงลงทุนสร้าง Digital Twin ของกริดนี้ทั้งระบบโดยใช้เทคโนโลยี OPAL-RT ทำให้พวกเขาสามารถทดสอบระบบป้องกัน (Intelligent Electronic Devices : IEDs) กว่า 190 ตัวในห้องแล็บได้อย่างปลอดภัย นี่คือการใช้ HIL แก้ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และผลลัพธ์คือช่วยลดความเสี่ยงจากความผิดพลาดที่ซ่อนอยู่

อีกหนึ่งกรณีศึกษาที่น่าสนใจมาจากมหาวิทยาลัย UTeM (Universiti Teknikal Malaysia Melaka) ที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาชุดทดสอบ Hardware-in-the-Loop สำหรับระบบพวงมาลัยไฟฟ้า (Steer-by-Wire) โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทดสอบที่ปลอดภัยและสมจริง เพื่อลดความเสี่ยงจากการทดลองบนรถยนต์จริง 

ความสำเร็จในงานวิจัยระดับนี้สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของ Ecosystem ด้านยานยนต์ และความสามารถในการสร้างองค์ความรู้เพื่อป้อนบุคลากรสู่อุตสาหกรรมในอนาคต

ถอดบทเรียนเวียดนาม สนามซ้อมสู่โรงงานนวัตกรรม

ในขณะที่มาเลเซียใช้ HIL เพื่อปกป้องโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติ เวียดนามแสดงให้เห็นถึงวิธีคิดอีกด้านที่ทรงพลังไม่แพ้กัน นั่นคือการใช้ HIL เป็นเครื่องมือเร่งเครื่องนวัตกรรม โดยมองว่า HIL ไม่ใช่แค่พื้นที่จำลองหายนะ แต่คือสะพานที่เชื่อมแนวคิดจากห้องปฏิบัติการไปสู่การสร้างผลิตภัณฑ์จริงที่แข่งขันได้ในตลาดโลก

กรณีศึกษาที่น่าสนใจมาจาก มหาวิทยาลัย Ho Chi Minh City University of Technology (HCMUT) ซึ่งตระหนักดีว่าเวียดนามมีศักยภาพด้านพลังงานแสงอาทิตย์สูง แต่การจะปลดล็อกศักยภาพนั้นได้ ต้องมีเทคโนโลยี Inverter ที่เป็นของตัวเอง ซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจในการเชื่อมต่อระบบโซลาร์เข้ากับกริดไฟฟ้า แต่การออกแบบ Power Electronics ที่มีไฟฟ้าแรงสูงนั้นอันตรายอย่างยิ่ง และเสี่ยงต่อความเสียหายที่อาจทำให้เกิดไฟไหม้หรือระเบิดได้

นี่คือจุดที่วิศวกรของ HCMUT ใช้ HIL เป็นสะพานเชื่อม แต่พวกเขาทำได้อย่างชาญฉลาดและประหยัดต้นทุน โดยสร้างเวิร์กโฟลว์อัตโนมัติที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาเอง

  • ในขั้นแรก พวกเขาใช้ซอฟต์แวร์ PSIM ซึ่งเป็นเครื่องมือ chuyên dụng สำหรับการจำลอง Power Electronics เพื่อออกแบบและทดสอบวงจร Inverter ในโลกเสมือนจริงจนมั่นใจว่าทำงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพสูงสุด
  • จากนั้นก็ใช้วิธี Auto-Code Generation แทนที่จะให้นักพัฒนามานั่งเขียนโค้ดที่ซับซ้อนและเสี่ยงต่อความผิดพลาดด้วยมือ พวกเขาใช้ฟีเจอร์ของ PSIM เพื่อ สร้าง C-Code ควบคุมการทำงานทั้งหมดโดยอัตโนมัติ จากแบบจำลองที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว
  • และในขั้นสุดท้ายคือการปลูกถ่ายซอฟต์แวร์ลงสู่สมองกลจริง (HIL Testing) โค้ดที่ได้ถูกนำไปติดตั้งลงบนสมองกลจริ งซึ่งก็คือชิปประมวลผลสัญญาณดิจิทัล (DSP Controller) แล้วจึงนำสมองกลนี้มาทดสอบแบบ in-the-Loop เพื่อดูว่ามันสามารถสั่งการฮาร์ดแวร์จริงได้ตามที่ออกแบบไว้ในพิมพ์เขียวดิจิทัลหรือไม่

เวิร์กโฟลว์อัตโนมัตินี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การทดสอบ มันช่วยลดเวลาจากแนวคิดไปสู่การทดสอบต้นแบบจริงในเวลาอันรวดเร็ว กลายเป็นกลยุทธ์ที่ครบวงจรทั้ง ลดความเสี่ยง, ลดเวลา และลดต้นทุน ทำให้เวียดนามสามารถสร้างทรัพย์สินทางปัญญา (IP) และนวัตกรรม Inverter ของตัวเองเพื่อแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย

HIL กับประเทศไทย ?

เมื่อมองกลับมาที่ไทย เราจะเห็นภาพของโอกาสที่ยิ่งใหญ่ ประเทศไทยมีองค์ประกอบแห่งความสำเร็จครบถ้วน ทั้งภาคอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง และบุคลากรที่มีศักยภาพ แต่จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่รอการเติมเต็มคือ ‘สะพาน’ ที่จะเชื่อมโยงองค์ประกอบเหล่านี้เข้าด้วยกัน ด้วยมาตรฐานการทดสอบยุคใหม่อย่าง HIL 

ต้องบอกว่าสมรภูมินี้ไทยไม่แพ้ต่างชาติ เราเองก็กำลังผลักดันเทคโนโลยี HIL (Hardware-in-the-Loop) อย่างหนัก โดยมี PTS Combination บริษัทวิศวกรรมสัญชาติไทยที่สั่งสมความเชี่ยวชาญด้านโซลูชันการทดสอบและการจำลองทางวิศวกรรมขั้นสูง เข้ามารับบทบาทสำคัญในฐานะ ‘ผู้สร้างสะพาน’ เชื่อมเทคโนโลยีนี้ให้เกิดขึ้นจริงในอุตสาหกรรมไทย

แม้ HIL จะมีประโยชน์มหาศาล แต่การผลักดันเทคโนโลยีนี้ในประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายหลัก 2 ประการ นั่นคือ บุคลากร และ ราคา (ต้นทุน)

คุณเพ็ญพิมล ลือขจร กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีทีเอส คอมบิเนชั่น จำกัด ให้ข้อมูลเชิงลึกว่า รากของปัญหาคือ ระบบการศึกษาไทยยังไม่ตอบโจทย์ ความต้องการของอุตสาหกรรมยุคใหม่ โดยเฉพาะพื้นฐานความรู้ด้าน HIL, ทักษะการเขียนโปรแกรม และการพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งกำลังทำให้เราขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะทางอย่างหนัก

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องแก้ไขเร่งด่วน เช่น

  • ขาดการสนับสนุน R&D ที่ต่อเนื่อง - ประเทศไทยยังขาดการสนับสนุนด้าน Research and Development (R&D) อย่างจริงจังและต่อเนื่อง การพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงต้องใช้เวลาและงบประมาณที่มั่นคง ไม่ใช่แค่การสนับสนุนแบบกว้างๆ ในช่วงสั้นๆ
  • ขาดแรงจูงใจทางภาษี - การลงทุนในเทคโนโลยี HIL ยังไม่มีมาตรการจูงใจทางภาษีที่ชัดเจน ซึ่งหากมีนโยบายนี้ จะช่วยกระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรมกล้าหันมาลงทุนมากขึ้น
  • ความร่วมมือที่ยังไม่เป็นรูปธรรม - การจับมือระหว่างภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคอุตสาหกรรม ยังไม่แข็งแรงและเป็นรูปธรรมเพียงพอ
  • โครงสร้างพื้นฐานยังไม่สมบูรณ์ - ไทยยังขาดโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการผลิตและพัฒนา HIL

คุณเพ็ญพิมล ย้ำว่า การเริ่มต้นปลูกฝังความรู้ด้าน HIL ในระดับมหาวิทยาลัย จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวด เพื่อสร้างบุคลากรที่มีศักยภาพสำหรับอนาคต

นี่อาจเป็นโจทย์ที่ท้าทายที่สุดของธุรกิจในประเทศไทย ที่ต้องหันกลับมามองเทคโนโลยี HIL ในฐานะ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน R&D ซึ่งเป็นปัจจัยชี้ขาดที่จะช่วยให้ไทยก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็วในเวทีโลก



ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

90% ขององค์กรไทยยังไม่พร้อมรับมือความเสี่ยงไซเบอร์ยุค AI รายงานจาก Accenture ชี้ Cybersecurity คือโจทย์เร่งด่วน

รายงานจาก Accenture ชี้ว่าองค์กรไทยและเอเชียแปซิฟิกยังขาดความพร้อมด้าน Cybersecurity ในยุค AI เมื่อ Autonomous AI, AI Agent และระบบอัตโนมัติเร่งขยายตัว ความปลอดภัยจึงกลายเป็นกลยุทธ...

Responsive image

ทำไมองค์กรทุ่มงบให้ AI แต่ยังไม่เห็นผลจริง ? เปิดมุมมองกับ ABeam Consulting ผู้คลุกคลีกับ Data & AI ขององค์กรไทย

ทำไมทุ่มงบ AI แต่ไม่เห็นผล? เจาะลึกมุมมองจาก ABeam Consulting ถึงสาเหตุที่แท้จริง ตั้งแต่ปัญหาข้อมูลใช้ไม่ได้ จนถึงวัฒนธรรมองค์กร พร้อมแนวทางปรับตัวให้ AI ใช้งานได้จริงในปี 2025...

Responsive image

ส่องเทรนด์ AI ปี 2026 เมื่อเทคโนโลยีเป็น 'คู่คิด' แต่ความเร็วอาจเป็น 'กับดัก'

ปี 2025 AI ได้กลายเป็นเครื่องมือของคนทำงานไปแล้ว และในปี 2026 กำลังจะเป็นอีกก้าวสำคัญ เพราะ AI จะไม่ได้แค่ช่วยให้ทำงานเร็วขึ้น แต่จะเริ่มเข้ามามีบทบาทในการตัดสินใจมากขึ้นเรื่อย ๆ...