ถอดบทเรียนอินโดนีเซีย ต่อสู้กับการล่าอาณานิคมยุคใหม่อย่างไร ? | Techsauce

ถอดบทเรียนอินโดนีเซีย ต่อสู้กับการล่าอาณานิคมยุคใหม่อย่างไร ?

หากพูดถึงการล่าอาณานิคมในอดีต ประเทศมหาอำนาจส่วนใหญ่คือผู้ที่มีความพร้อมทางอาวุธ กำลังพล และความรู้ในวิทยาการใหม่ ๆ และเข้ามาในรูปแบบของการ ‘ต่อสู้หรือทำสงคราม’ ซึ่งเป็นการเข้ายึดครองดินแดนที่เราไม่ค่อยเห็นมากนักในปัจจุบัน

แต่ก็ไม่ใช่ว่าการล่าอาณานิคมจะหายไป เพียงแต่ในศตวรรษที่ 21 รูปแบบการล่าอาณานิคมของชาติมหาอำนาจได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก กลายมาเป็นการ ‘ล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจ’ ที่ไม่ต้องใช้กำลังอาวุธหรือการทำสงครามอีกต่อไป 

ประเทศมหาอำนาจอย่างจีน กำลังล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจผ่านการลงทุนและนำเข้าเทคโนโลยีใหม่ ที่ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศกำลังพัฒนา แต่กลับมาพร้อมข้อผูกมัดที่ทำให้ประเทศเหล่านั้นต้องพึ่งพิงพวกเขามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางการเงินหรือทรัพยากร จนสุดท้ายอาจต้องเสียอิสระในการตัดสินใจไป

แล้วประเทศเล็กๆ จะต่อสู้กับการล่าอาณานิคมยุคใหม่นี้ได้อย่างไร ? บทความนี้ Techsauce จะพามาถอดบทเรียนจาก ‘อินโดนีเซีย’ ประเทศที่รัฐบาลลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องธุรกิจท้องถิ่นจากการครอบงำของมหาอำนาจ

ปกป้องเอกราชทางเศรษฐกิจแบบอินโดนีเซีย

จากการศึกษาของ Oxford Business Group พบว่าอินโดนีเซียมีตลาดเทคโนโลยีที่เติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค ซึ่งได้รับแรงหนุนจากกฎหมายใหม่ๆ ของรัฐบาลที่ส่งเสริมการลงทุน การจ้างงาน และการจัดการธุรกิจ ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีหันมาลงทุนที่นี่มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การที่อินโดนีเซียเปิดประตูรับการลงทุนจากต่างชาติ ก็ไม่ได้หมายความว่าประตูทุกบานจะเปิดกว้างง่ายๆ ปัจจุบันอินโดนีเซียมีการออกกฏหมายใหม่เพื่อปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างการลงทุนในประเทศ ผ่านกฎหมายที่เรียกว่า Omnibus Law , Presidential Regulation No. 10/2021 และ Minister of Trade Regulation No. 31 of 2023 ที่ออกมาเพื่อปรับปรุงและเปิดเสรีการลงทุนบางส่วน แต่ยังคงมีการกำหนดข้อจำกัดในบางอุตสาหกรรมเพื่อป้องกันผลกระทบต่อธุรกิจท้องถิ่น โดยมีมาตรการที่น่าสนใจ ดังนี้

1. การแบ่งหมวดหมู่ธุรกิจ

ธุรกิจถูกแบ่งออกเป็นหลายหมวดหมู่เพื่อกำหนดเงื่อนไขการลงทุนและการมีส่วนร่วมของต่างชาติและธุรกิจท้องถิ่น โดยหลักๆ จะแบ่งเป็นธุรกิจที่เปิดให้ต่างชาติเข้าลงทุนได้ 100% และธุรกิจที่ต้องมีการร่วมมือกับ MSMEs (ผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย)

2. สิทธิพิเศษทางภาษี

นักลงทุนที่ร่วมมือกับ MSMEs ในบางอุตสาหกรรมสามารถขอรับสิทธิพิเศษ เช่น การยกเว้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการขยายอุตสาหกรรม และการลดหย่อนภาษีรายได้ในบางกรณี นอกจากนี้ยังมี Tax Holidays ให้นักลงทุนที่มีการร่วมมือกับ MSMEs จะได้รับสิทธิในการยกเว้นภาษีในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการเริ่มต้นโครงการและการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ

3. กฏหมายอีคอมเมิร์ซ

อินโดนีเซียมีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSMEs) จำนวน 64.2 ล้านราย ซึ่งรวมกันคิดเป็นประมาณ 61% ของเศรษฐกิจทั้งหมดของประเทศ ธุรกิจเหล่านี้มีความสำคัญมากต่อเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย

รัฐบาลกังวลว่าผู้ขายออนไลน์ โดยเฉพาะผู้ขายบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย มักขายสินค้าในราคาที่ต่ำมาก ซึ่งเป็นปัญหาเพราะอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจในท้องถิ่นที่ไม่สามารถแข่งขันกับราคาเหล่านี้ได้ เมื่อธุรกิจในท้องถิ่นสูญเสียลูกค้าให้กับทางเลือกออนไลน์ที่ถูกกว่าเหล่านี้ พวกเขาอาจต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดหรืออาจต้องปิดกิจการ 

อินโดนีเซียจึงได้ออกมาตรการปกป้องธุรกิจท้องถิ่นในด้านอีคอมเมิร์ซ โดยเน้นไปที่การควบคุมและจำกัดการเข้ามาของทุนต่างชาติผ่านกฎระเบียบใหม่อย่าง Minister of Trade Regulation No. 31 of 2023 (MOTR 31/2023) มีจุดประสงค์เพื่อปกป้องและสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กในท้องถิ่นที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศ อาทิ

  • แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต้องมีใบอนุญาตพิเศษ: ในอินโดนีเซียแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียไม่สามารถใช้เพื่อการซื้อและขายสินค้าได้ แต่ธุรกิจสามารถใช้เพื่อโฆษณาและแจ้งโปรโมชั่นได้ เนื่องจากรัฐบาลต้องการป้องกันไม่ให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอำนาจควบคุมมากเกินไป จากการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลและอัลกอริทึมที่ใช้ หากบริษัทโซเชียลมีเดียต้องการมีแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเพื่อขายสินค้า บริษัทจะต้องได้รับใบอนุญาตพิเศษและพัฒนาแอปแยกออกมาอีกหนึ่งตัว
  • การกำหนดราคาสินค้านำเข้า: สินค้าที่นำเข้าผ่านอีคอมเมิร์ซจะต้องมีมูลค่าอย่างน้อยประมาณ 1.5 ล้านรูเปียห์ เพื่อปกป้องธุรกิจในท้องถิ่นจากสินค้าที่นำเข้าราคาถูกที่ล้นตลาดและส่งเสริมสินค้าท้องถิ่นที่ต้องแข่งขันในตลาดเดียวกัน
  • ป้องกันปัญหาการตั้งราคาที่ไม่เป็นธรรม (predatory pricing): กำหนดให้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและผู้ประกอบการต่างชาติที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในอินโดนีเซียต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านราคา เพื่อป้องกันการลดราคาสินค้าจนต่ำเกินไปหรือการทำราคาที่ทำให้ธุรกิจท้องถิ่นไม่สามารถแข่งขันได้

Use Case การปกป้องธุรกิจท้องถิ่นของอินโดนีเซีย

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เรามักเห็นข่าวเกี่ยวกับการแบนแพลตฟอร์มต่างชาติในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการบังคับใช้กฎหมายและนโยบายที่มุ่งหวังจะปกป้องธุรกิจท้องถิ่นให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง สำหรับกรณีของ TikTok Shop นั้น ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนและโดดเด่นอย่างมาก

การเคลื่อนไหวนี้จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราน่ากลับมาตั้งคำถามเกี่ยวกับความสมดุลระหว่างการปกป้องธุรกิจท้องถิ่นกับการเปิดรับโอกาสจากต่างประเทศ ในขณะที่โลกของการค้าออนไลน์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อินโดนีเซียก็ยืนหยัดที่จะผลักดัน Startup ในประเทศอย่าง GoTo อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของอินโดนีเซีย

มหากาพย์การแบน TikTok Shop

ย้อนไปในปี 2022 TikTok ได้ขยายอาณาจักรเข้าสู่ตลาด E-Commerce ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย ด้วยฟีเจอร์ TikTok Shop ซึ่งกวาดรายได้มากถึง 1.5 แสนล้านบาท กลายเป็นฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซที่ได้รับความนิยมไม่น้อยหน้าแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่อย่าง Shopee และ Lazada ซึ่งในปัจจุบัน TikTok Shop ก็กลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางยอดฮิตสำหรับการช้อปปิ้งออนไลน์ของคนไทยไปแล้ว

แต่เรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นในอินโดนีเซีย TikTok Shop เกือบจะเติบโตอย่างสวยงาม แต่สุดท้ายกลับถูกรัฐบาลอินโดนีเซีย "คุมกำเนิด" ในช่วงกันยายน 2023 ซุลกิฟลี ฮาซัน รัฐมนตรีกระทรวงการค้าอินโดนีเซีย ออกมาประกาศชัดเจนว่า ห้ามซื้อขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียโดยเด็ดขาด

ในเวลานั้น TikTok กำลังพยายามเจาะตลาดอินโดนีเซียอย่างหนัก การประกาศจากรัฐบาลจึงเปรียบเสมือนสัญญาณบอกว่า TikTok Shop ไม่เป็นที่ต้อนรับในตลาดนี้ ซึ่งการแบนครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลแค่กับ TikTok แต่ยังรวมถึง Facebook ด้วย ทำให้ชาวอินโดนีเซียไม่สามารถใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้ในการซื้อขายสินค้าได้อีกต่อไป

หากเราย้อนดูเบื้องหลังการห้ามนี้ จะพบว่ารัฐบาลอินโดนีเซียมองว่า TikTok Shop อาจเป็นภัยคุกคามต่อธุรกิจท้องถิ่น สังเกตได้จากข้อกำหนดที่ระบุว่า “หากบริษัทโซเชียลมีเดียต้องการมีแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ พวกเขาจำเป็นต้องขอใบอนุญาตพิเศษ และพัฒนาแอปแยกสำหรับการขายสินค้าโดยเฉพาะ” ซึ่ง TikTok Shop ก็เป็นเพียงฟีเจอร์หนึ่งในแอป TikTok ที่เป็นโซเชียลมีเดีย 

พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ดึง TikTok ลงทุน GoTo

หลังจาก TikTok Shop ถูกแบนในอินโดนีเซีย ผ่านไปประมาณ 4 เดือนก็เกิดดีลใหญ่ส่งท้ายปี 2023 เพราะ TikTok เดินหน้าลงทุน 1.5 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 5.2 หมื่นล้านบาทใน GoTo Group ธุรกิจอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของอินโดนีเซีย ดังนั้น เป้าหมายเบื้องหลังการลงทุนใหญ่ในครั้งนี้ก็เพื่อเริ่มต้นธุรกิจ e-commerce ของ TikTok ในอินโดนีเซียอีกครั้ง

ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว TikTok จะเป็นผู้ถือหุ้นกว่า 75.01% ของ Tokopedia ฟีเจอร์ช้อปปิ้งของ GoTo เข้าไปในแอปพลิเคชันของ TikTok อินโดนีเซีย  และ Tokopedia จะได้เงินการันตี 1 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 3.5 หมื่นล้านบาทจาก TikTok ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นทุนสำรองหมุนเวียนทางธุรกิจได้

ดีลระหว่าง TikTok และ GoTo จึงไม่ใช่เพียงแค่การลงทุนใหญ่ แต่คือการยืนยันว่ารัฐบาลยังคงให้ความสำคัญกับการปกป้องธุรกิจในประเทศ แต่ในขณะเดียวกันก็พร้อมเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติที่สอดคล้องกับกฎระเบียบและสร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในระยะยาว การแบน TikTok Shop อาจดูเหมือนจุดจบในครั้งแรก แต่กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ที่น่าจับตามองสำหรับทั้งสองฝ่าย

เมื่อไม่นานมานี้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซตัวล่าสุดอย่าง Temu จากจีน แพลตฟอร์มที่เน้นขายสินค้าราคาถูกก็เพิ่งโดนแบนในอินโดนีเซีย โดยสั่งให้ Google และ Apple ลบแอปพลิเคชันออกจาก Play Store และ App Store นอกจาก Temu แล้ว อินโดนีเซียยังมีแผนที่จะแบน Shein แพลตฟอร์มจีนที่ขายเสื้อผ้าราคาถูก ซึ่งการแบนในครั้งนี้ก็ให้เหตุผลเดียวกันคือ รูปแบบธุรกิจดังกล่าวเป็นการ "แข่งขันที่ไม่เป็นธรรม" และอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ SME ในประเทศ

สุดท้ายแล้วมาตรการที่อินโดนีเซียใช้ในการปกป้องธุรกิจท้องถิ่นจากการเข้าครอบงำของมหาอำนาจต่างชาติ เป็นบทเรียนที่น่าสนใจสำหรับประเทศอื่น ๆ ที่ต้องการรักษาเอกราชทางเศรษฐกิจ ในโลกยุคใหม่ที่เศรษฐกิจออนไลน์มีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น นโยบายและกฎระเบียบที่เข้มงวดของอินโดนีเซียแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการควบคุมการลงทุนจากต่างชาติ ไม่ให้กระทบต่อการเติบโตของธุรกิจในประเทศ

อย่างไรก็ตาม การแบนไม่ได้หมายถึงการปิดโอกาสทั้งหมด อินโดนีเซียยังคงเปิดกว้างให้กับการลงทุนที่สอดคล้องกับนโยบายและกฎระเบียบของประเทศ โดยเฉพาะการสนับสนุนธุรกิจที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว

อ้างอิง: lexology, asiapacific

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

NocNoc อีคอมเมิร์ซสัญชาติไทย เดินเกมธุรกิจสู่อาเซียน ด้วย AI-Powered พลิกโฉมประสบการณ์ Home & Living

ปีนี้ NocNoc พร้อมที่จะเดินหน้าด้วยพลังของ AI และ Data-Driven ระดับอาเซียน นำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อมอบประสบการณ์ที่เฉพาะตัว พร้อมขยายตลาด พาแบรนด์ไทยไปสู่ระดับอาเซียน ภายใต้เป้าหม...

Responsive image

รวมวิสัยทัศน์เด่น ประเด็นชวนคิด จากงาน 'ttb spark REAL change'

สรุปวิสัยทัศน์ผู้นำจาก 'ttb spark REAL change' งานตอกย้ำศักยภาพความเป็นผู้นำด้าน Digital & Tech ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่มีความหมาย โดย ทีเอ็มบีธนชาติ หรือ ทีทีบี (ttb)...

Responsive image

จับทาง ‘Agentic AI’ ที่องค์กรยุคใหม่ (เริ่ม) ใช้กัน โดย วสันต์ ลิ่วลมไพศาล CTO, MFEC

บทสัมภาษณ์เรื่องการใช้ Agentic AI ที่มาพร้อม Use Cases และคำแนะนำต่างๆ ในปีแห่งการ Adopt ใช้ AI อย่างหนัก กับ คุณวสันต์ ลิ่วลมไพศาล CTO, MFEC...