ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวล้ำไปไกล แต่ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ยังคงเป็นความท้าทายสำคัญของประเทศไทย ล่าสุด สตาร์ทอัพชั้นนำจากญี่ปุ่นได้นำเทคโนโลยี AI มาช่วยแก้ปัญหานี้ สร้างความหวังใหม่ให้กับวงการแพทย์ไทย
ประเทศไทยมีแพทย์เพียง 9 คนต่อประชากร 10,000 คน เทียบกับญี่ปุ่นที่มีแพทย์มากถึง 26 คนต่อประชากรจำนวนเท่ากัน สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการให้บริการทางการแพทย์ โดยเฉพาะในด้านการวินิจฉัยโรค แม้จะมีการถ่ายภาพเอกซเรย์แล้ว แต่การขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญในการวินิฉัยทำให้การรักษาล่าช้า อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ป่วยโดยเฉพาะในกรณีของโรคติดต่อร้ายแรงอย่างวัณโรค
ท่ามกลางวิกฤตนี้ LPIXEL สตาร์ทอัพจากกรุงโตเกียว ได้ร่วมมือกับ JETRO (องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น) พัฒนาระบบ AI ที่ช่วยวินิจฉัยวัณโรคโดยเฉพาะ โดยจะเริ่มต้นโครงการนำร่องที่มหาวิทยาลัยมหิดลในเดือนพฤศจิกายน 2567 รวมไปถึงโรงพยาบาลอื่นๆ และตั้งเป้าหมายที่จะนำระบบนี้ไปใช้ในสถานพยาบาล 100 แห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายใน 3 ปี
ความพิเศษของระบบนี้อยู่ที่การผสมผสานข้อมูลอย่างลงตัว โดยใช้ฐานข้อมูลจากผู้ป่วยญี่ปุ่น 95% และผู้ป่วยไทย 5% พร้อมทั้งคำนึงถึงความแตกต่างของอุปกรณ์และทักษะบุคลากรในแต่ละประเทศ ที่สำคัญ ระบบนี้สามารถติดตั้งเพิ่มเติมในเครื่องเอกซเรย์ส่วนใหญ่ที่มีอยู่แล้ว ทำให้โรงพยาบาลไม่จำเป็นต้องลงทุนซื้อเครื่องมือใหม่ทั้งหมด
ตัวเลขจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ชี้ให้เห็นว่าวัณโรคยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของภูมิภาค โดยในปี 2565 มีผู้ป่วยวัณโรคทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 10.6 ล้านคน จาก 10.3 ล้านคนในปีก่อนหน้า ที่น่าห่วงคือ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีสัดส่วนผู้ป่วยสูงถึง 46% ของผู้ป่วยทั้งหมด การมีระบบ AI ช่วยวินิจฉัยจึงเป็นความหวังในการค้นพบและรักษาผู้ป่วยได้เร็วขึ้น
นอกจาก LPIXEL แล้ว AI Medical Service เป็นอีกหนึ่งสตาร์ทอัพจากญี่ปุ่นที่นำเสนอระบบ AI สำหรับการส่องกล้อง เพื่อช่วยในการวินิจฉัยมะเร็งกระเพาะอาหาร ซึ่งระบบนี้ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุขของบราซิลแล้วในเดือนเมษายน และได้รับการอนุมัติในสิงคโปร์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 โดยมีแผนที่จะขยายไปยังประเทศไทยและเวียดนามในอนาคต
Fortune Business Insights คาดการณ์ว่าตลาดการสร้างภาพทางการแพทย์ (Medical Imaging) ทั่วโลกจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยจะมีมูลค่าสูงถึง 70.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2575 เพิ่มขึ้น 74% จากปี 2566 การเติบโตนี้ขับเคลื่อนด้วยการเพิ่มขึ้นของประชากรและความต้องการการรักษาที่ทันสมัย
อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาใช้ในวงการแพทย์ยังมีความท้าทายที่ต้องก้าวข้าม ทั้งเรื่องการขออนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล การสร้างความสัมพันธ์กับภาครัฐ และการปรับระบบให้เข้ากับบริบทของแต่ละประเทศ แต่ข่าวดีคือ อาเซียนกำลังพัฒนาระบบการอนุมัติอุปกรณ์การแพทย์แบบรวมศูนย์ ซึ่งจะช่วยให้การขยายตัวของเทคโนโลยีทางการแพทย์เป็นไปได้สะดวกขึ้น
การมาถึงของ AI ทางการแพทย์จากญี่ปุ่นถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการสาธารณสุขไทย แม้จะไม่สามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนแพทย์ได้ทั้งหมด แต่ก็เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้การวินิจฉัยโรคมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวดเร็วขึ้น และช่วยลดภาระของบุคลากรทางการแพทย์ที่มีอยู่จำกัด นับเป็นก้าวสำคัญของการนำเทคโนโลยีมาช่วยยกระดับการดูแลสุขภาพของคนไทย
อ้างอิง Nikkei
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด