เมื่อเราก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วอย่างก้าวกระโดด เทคโนโลยีดิจิทัลทำให้เกิดรูปแบบธุรกิจใหม่ขึ้นมา อีกทั้งสร้างผลกระทบต่อมูลค่าของผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีอยู่เดิม หากธุรกิจในปัจจุบันปรับตัวไม่ทันจะถูกแทนด้วยธุรกิจใหม่ นับว่าเป็นทั้งโอกาสสำหรับธุรกิจในการหนดยุทธศาสตร์ทางธุรกิจใหม่เพื่อฉวยจังหวะ Digital Disruption หรืออาจกลายเป็นอุปสรรคได้เช่นกันหากไม่มีแผนการรับมือกับคลื่นการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ดีพอ
สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) ได้ร่วมจัดงาน Digital Transformation Forum 2019 ขึ้นในปีนี้เป็นปีแรก ภายใต้หัวข้อ “Surfing the Waves in Digital Transformation Era” โดยมุ่งหวังให้นำองค์ความรู้ต่างๆ ไปพัฒนาต่อยอดเชิงเทคโนโลยี นวัตกรรม และแพลตฟอร์มดิจิทัล ผ่าน Best Practices จากผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจดิจิทัลทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้องค์กรได้ตื่นตัวและก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันได้มีการเปิดเวทีพูดคุย Digital Transformation Journey for Smart Living คลื่นการเปลี่ยนแปลงได้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตรวมไปถึงการทำธุรกิจอย่างไร ปัจจัยอะไรที่เป็นสิ่งจำเป็นต่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า รวมถึงเทรนด์การปรับใช้เทคโนโลยีเข้ามาเชื่อมกับส่วนต่างๆ ในธุรกิจเดิมที่มีอยู่ เพื่อดำเนินธุรกิจใหม่ ซึ่งผู้บริหารที่เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนี้ได้แก่ ดร. สุพิทัศน์ ส่งศิริ General Manager บริษัท ชินาทรัพย์ จำกัด, คุณกิติพงษ์ ธาราศิริสกุล Chief Technology Officer, Huawei Technologies, Mr. Andrew Hamilton, Client Partner: Smart Infrastructure, Hitachi Consulting และ Mr. Robert Jessing, Senior Manager, Accenture Strategy
Digital disruption ส่งผลกระทบไม่เพียงแต่โมเดลธุรกิจ ที่ต้องเปลี่ยนไปตามความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป แต่ยังรวมไปถึงการปรับใช้เทคโนโลยีในองค์กร และการสร้างวัฒนธรรมขั้นมาใหม่
เมื่อมีการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติมาใช้ ทำให้สิ่งที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจทั้งหมดต้องดำเนินไปตามเทคโนโลยีดังกล่าว วิธีที่องค์กรดำเนินการเกี่ยวกับการจัดการการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายเหล่านี้คือการกำหนดกลยุทธ์องค์กรใหม่ องค์กรจะรอดพ้นจากคลื่นความเปลี่ยนแปลง อีกทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามาจำนวนมากได้อย่างไร?
คุณกิติพงษ์ ได้เน้นย้ำว่า การทำความเข้าใจลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กรหากต้องการรอดจากคลื่นการเปลี่ยนแปลง เพราะเมื่อพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ลูกค้ามีพลังมากขึ้น เนื่องจากมีเครื่องมือต่างๆ ที่พวกเขาสามารถควบคุมได้ด้วยตนเอง เนื่องจากมีทรัพยากรอยู่ในมือ อีกทั้งยังสามารถเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์กับคู่แข่ง มากไปกว่านั้นยังสามารถทำธุรกิจได้ด้วยตัวเอง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะเทคโนโลยี
ด้วยสิ่งเหล่านั้น ทำให้ลูกค้ามีความคาดหวังต่อธุรกิจในปัจจุบันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความเร็ว (Speed), ความโปร่งใส (Transparency), รวมไปถึงด้านการทำ Personalisation นอกจากนี้ ไม่เพียงแต่จากลูกค้าเท่านั้นที่ทำให้หลายธุรกิจต้องมองหาโมเดลธุรกิจใหม่ ผู้เล่นใหม่จำนวนมากที่เข้ามาทำธุรกิจก็เป็นตัวเข้ามา disrupt เช่นกัน ดังนั้นธุรกิจในปัจจุบันต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ต้องเตรียมตัวให้พร้อม มิเช่นนั้นจะโดน disrupt เสียเอง
วิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานให้เป็นแบบ Agile และการเปิดรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามา คือการเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ซึ่งควรครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตลาด ไปจนถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
ความผิดพลาดขององค์กรส่วนใหญ่ในการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากมุ่งไปที่เทคโนโลยีให้เป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงหลัก อีกทั้งไม่ได้ให้ความสำคัญด้านธุรกิจว่ามีสิ่งไหนที่ควรทำ คุณกิติพงษ์ ได้ยกกรณีตัวอย่างการเริ่มเส้นทาง Digital transformation ของ Huawei ในปีค.ศ. 2014 โดยเริ่มทำการโฟกัสไปที่ 3 ด้านที่ต้องทำการมุ่งเน้น ได้แก่ ด้านกลยุทธ์ (Strategy), ด้านกระบวนการทำงาน (Process) และด้านเทคโนโลนี (Technology)
ด้านกลยุทธ์ (Strategy): มุ่งเน้นไปที่ 3 สิ่ง ได้แก่
ด้านกระบวนการทำงาน (Process): เนื่องจาก Huawei เป็นบริษัทใหญ่ ดังนั้นจึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทุกขั้นตอนในองค์กร จึงได้สร้าง 5 สิ่งที่มีร่วมกันเพื่อให้ทั้งองค์กรสามารถปฏิบัติงานร่วมกันได้ โดยเรียกกระบวนการนี้ว่า ROADS
‘ROADS’ : 5 สิ่งที่ Huawei มีร่วมกันในองค์กร มีดังนี้
ด้านเทคโนโลยี (Technology): ทำการระบุเทคโนโลยีที่ใช้ในองค์กว่ามีอะไรบ้าง รวมถึงดูวัตถุประสงค์ในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ AI เพื่อช่วยทำงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ เพื่อช่วยลดต้นทุน การใช้ Blockchain ในการทำธุรกรรมที่ปลอดภัยมากขึ้น และการใช้เทคโนโลยีคลาวด์ (Cloud) เพื่อใช้ทรัพยากรข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ
จากการวาง Roadmap ข้างต้นทำให้ Huawei สามารถทำการสร้าง 5 โปรเจคหลักๆ ได้แก่
ความผิดพลาดขององค์กรส่วนใหญ่ในการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นองค์กรด้านนวัตกรรม คือการมุ่งไปที่เทคโนโลยีให้เป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงหลัก ไม่ได้ให้ความสำคัญด้านยุทธศาสตร์ทางธุรกิจว่ามีสิ่งไหนที่ควรทำบ้าง
Mr. Robert ได้พูดถึง 3 เทคโนโลยีที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนอนาคต ได้แก่ เทคโนโลยีบล็อคเชน (Blockchain), เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence (AI)) รวมไปถึงเทคโนโลยี Quantum Computing อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าองค์กรจะมีเทคโนโลยีขั้นสูงแค่ไหน แต่หากไม่สามารถส่งเสริมให้พนักงานใช้เทคโนโลยีนั้นได้ ก็ไม่เกิดประโยชน์ที่จะสร้างเทคโนโลยีนั้นมา
ดร. สุพิทัศน์ ได้แนะในเรื่องปัจจัยสำคัญในการเปลี่ยนแปลงองค์กรไปสู่ความเป็นดิจิทัลว่า ด้านทรัพยากรคน (People) ด้านกลยุทธ์ (Strategy) และด้านพันธมิตร (Partner) โดยเฉพาะเรื่องคนถือเป็นแกนหลักของการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งการสร้างพันธมิตรจะเป็นตัวช่วยเสริมองค์กรให้ดำเนินเส้นทางการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกันทั้งระบบนิเวศ
นอกจากนี้คุณกิติพงษ์ ยังได้เสริมในด้านผู้นำ โดยเฉพาะการสนับสนุนจากระดับ C-Level เพื่อสร้างโซลูชั่นแบบครบวงจรสำหรับผู้ให้บริการเทคโนโลยี การสร้างระบบนิเวศ การลงทุนที่มั่นคงก็เป็นส่วนสำคัญในการตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน
Digital transformation นั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงด้านธุรกิจ และต้องขับเคลื่อนโดยผู้นำ โดยเฉพาะการสนับสนุนจากระดับ C-Level เพื่อสร้างโซลูชั่นแบบครบวงจรสำหรับผู้ให้บริการเทคโนโลยี การสร้างระบบนิเวศ การลงทุนที่มั่นคงก็เป็นส่วนสำคัญในการตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน
ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์หรือ Cybersecurity นั้นเป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้ เพราะเมื่อพูดถึงการทำทุกอย่างให้เป็นดิจิทัล นั้นมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับข้อมูลล้วนๆ หากองค์กรไหนมีชุดข้อมูลที่ไม่ดี ย่อมส่งผลให้การตัดสินใจผิดเพี้ยนไปด้วย ในตอนนี้หลายธุรกิจมีคลังข้อมูลดิจิทัลของตัวเองมากขึ้น สามารถเรียกใช้งานแบบเรียลไทม์มากขึ้น ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วจะช่วยให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ข้อมูล ช่วยในการตัดสินใจได้ดีขึ้นและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันอาจส่งผลให้เกิดการตัดสินใจผิดพลาดอย่างรวดเร็วได้เช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ หากบริษัทไหนต้องการดำเนินการเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งแรกจะทำการเริ่มต้นได้อย่างไร? ดร. สุพิทัศน์ ได้ให้คำแนะนำในด้านนี้ว่า อันดับแรกจะต้องทำการเช็คความพร้อมขององค์กรว่ามีความพร้อมแค่ไหน พร้อมส่งเสริมการทำงานแบบดิจิทัลร่วมกัน เนื่องจากไม่มีใครสามารถทำงานเพียงคนเดียวได้ สุดท้ายคือการหาพันธมิตรด้านเทคโนโลยี
จากประสบการณ์การทำงานในหลากหลายภาคธุรกิจไม่ว่าจะเป็นด้านสื่อ ด้านการเงินการธนาคาร และด้านโทรคมนาคมของคุณกิติพงษ์ จึงได้พูดถึงสิ่งที่พบจากการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปของแต่ละภาคธุรกิจ ดังนี้
ด้านสื่อ - นับเป็นอุตสาหกรรมหลักที่ได้รับผลกระทบอย่างมหาศาล หลายบริษัทหยุดการใช้กระดาษ เพื่อปรับไปสู่ช่องดิจิทัล ทำเนื้อหาให้เป็นดิจิทัลเพื่อให้ง่ายต่อการใช้ประโยชน์จากเนื้อหา การหันไปใช้ระบบคลาวน์ เนื่องจากเป็นเรื่องยากสำหรับอุตสาหกรรมสื่อที่จะประเมินความสามารถในการเก็บข้อมูล ดังนั้นการใช้ระบบ Cloud นั้นช่วยได้มาก ในด้านการลงทุน หลายบริษัทได้มีการหันมาเน้นการลงทุนด้าน Cybersecurity และผลิตภัณฑ์ด้านไอที จากที่แต่ก่อนลงทุนด้านระบบการพิมพ์และระบบการกระจายเสียง
ด้านการเงินการธนาคาร - หลายธนาคารต่างพูดถึงเรื่องการเป็น Digital first ได้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานไม่ว่าจะเป็นการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อช่วยในการลดความเสี่ยง รวมไปถึงการช่วยตรวจสอบเอกสารเพื่อความปลอดภัยในการปล่อยสินเชื่อ การใช้เทคโนโลยีบล็อคเชน การโปรโมตการสร้างสังคมไร้เงินสด (Cashless society) ไปจนถึงการเริ่มใช้ E-KYC อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้เองโดยไม่ต้องเดินทางไปยังธนาคาร
ด้านกลุ่มโทรคมนาคม - ได้มีการปรับใช้ดิจิตอลในแง่การช่วยส่งมอบแอพพลิเคชั่นให้ไปถึงมือลูกค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังได้นำดิจิทัลมาช่วยทำงานด้าน Operation เพื่อช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน
โดยงานดังกล่าวฯ เกิดขึ้นจากความร่วมมือของสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) ซึ่งได้จัดขึ้นไปเมื่อวันศุกร์ที่ 26 เมษายน 2562 ผู้ที่สนใจสามารถอ่านสรุปเซสชั่นอื่นๆ จากงานในครั้งนี้ได้ที่นี่
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด