
McKinsey เปิดรายงาน Tech Trends Outlook 2025 ซึ่งมีการนำเสนอมุมมองชิงลึกต่อ 13 เทรนด์เทคโนโลยีสุดล้ำ (Frontier Technology) ที่มีศักยภาพพลิกโฉมธุรกิจทั่วโลก รายงานนี้ไม่ได้มาแค่บอกว่ามีอะไรใหม่ แต่เจาะลึกไปถึงเบื้องหลังของทั้ง 13 เทรนด์ ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกทั้งด้านนวัตกรรม, การลงทุน, ความสนใจจากสื่อ และตลาดแรงงาน เพื่อให้ผู้นำธุรกิจเห็นภาพชัดว่า คลื่นลูกไหนกำลังจะซัดมาที่อุตสาหกรรมของตัวเอง
ในรายงานฉบับนี้ ทาง McKinsey เล็งเห็นว่า AI ไม่ได้ถูกมองเป็นเพียงหนึ่งในเทรนด์ที่น่าจับตา แต่ถูกยกให้เป็น พลังขับเคลื่อนหลัก (Foundational Amplifier) ที่อัดฉีดความสามารถและเร่งสปีดความก้าวหน้าให้กับเทรนด์อื่นๆ ทั้งหมด ผลกระทบของ AI ไม่ได้เกิดขึ้นแบบเดี่ยวๆ อีกต่อไป
แต่มาในรูปแบบของการผสมผสานเข้ากับเทคโนโลยีอื่น ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปช่วยฝึกฝนหุ่นยนต์ให้ฉลาดขึ้น, ค้นพบทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ ในชีววิศวกรรม, หรือแม้กระทั่งการเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบพลังงานสะอาด

สำหรับ 13 เทรนด์เทคโนโลยีที่น่าสนใจแห่งปี 2025 จะถูกแบ่งออกเป็น 3 หมวดหมู่หลัก รายละเอียดดังนี้
นี่คือ AI ที่ไม่ใช่แค่คิดแต่ลงมือทำได้จริง มันคือระบบที่สามารถ วางแผนและดำเนินงานหลายขั้นตอนที่ซับซ้อนได้ด้วยตัวเอง เปรียบเสมือนเพื่อนร่วมงานดิจิทัลที่ใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น เว็บเบราว์เซอร์ เพื่อจัดการงานให้เราได้
พัฒนาการล่าสุดคือการเกิดแพลตฟอร์มอเนกประสงค์อย่าง OpenAI Operator และ Google Gemini 2.5 Flash รวมถึงการที่ AI Agent สามารถคุยกันเองเพื่อประสานงานได้ แม้จะยังมีข้อกังวลด้านความน่าเชื่อถือและความรับผิดชอบ แต่เทรนด์นี้ยังคงอยู่ในระยะทดลอง และดึงดูดเม็ดเงินลงทุนไปถึง 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2024 พร้อมตำแหน่งงานที่โตขึ้นถึง 985%
AI ได้กลายเป็นเทคโนโลยีที่แพร่หลายและฝังลึกในทุกอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการสนทนา, การวิเคราะห์ข้อมูล, หรือการควบคุมหุ่นยนต์
พัฒนาการล่าสุดที่น่าสนใจคือ การบูมของโมเดลขนาดเล็ก (Small-model explosion) ที่ทำให้ AI ประสิทธิภาพสูงเข้าถึงได้ง่ายขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง รวมถึง Multimodal AI ที่สามารถประมวลผลได้ทั้งข้อความ, รูปภาพ, วิดีโอ และเสียง ขณะนี้ AI อยู่ในระยะสเกล แ
ปที่ถูกออกแบบมาเพื่องานเฉพาะทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อรองรับการ Training และ Inference ของ AI บริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon, Google, Meta และ Microsoft ต่างทุ่มทุนพัฒนาชิป ASIC ของตัวเอง
ขณะที่ความต้องการ AI ทำให้คาดว่า ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์จะโตเฉลี่ย 33% ต่อปีไปจนถึงปี 2030 และยังกระตุ้นให้เกิดการลงทุนข้ามชาติ เช่น การที่ TSMC ขยายการผลิตมายังสหรัฐฯ ด้วยเงินลงทุนกว่า 1.65 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
เทคโนโลยีอย่าง 5G, 6G, Wi-Fi 7 และดาวเทียม LEO กำลังจะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญยิ่งขึ้นในยุค AI ล่าสุด 5.5G ได้เริ่มใช้เชิงพาณิชย์ในปี 2024 เพื่อปูทางสู่ 6G ขณะที่เกาหลีใต้ตั้งเป้าใช้งาน 6G ภายในปี 2028 นอกจากนี้ เทคโนโลยี Direct-to-Satellite ที่ทำให้สมาร์ทโฟนเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้โดยตรงก็กลายเป็นจริงแล้ว เช่น บริการของ Starlink และฟีเจอร์ฉุกเฉินของ Apple ปัจจุบัน 5G มีการเชื่อมต่อทั่วโลกแล้ว
การมาของ AI กำลังเปลี่ยนภูมิทัศน์ของคลาวด์ทั้งหมด บริษัทต่างๆ กำลังหาทางรับมือกับข้อจำกัดด้านพลังงานโดยการย้ายดาต้าเซ็นเตอร์ไปยังพื้นที่ที่มีโครงสร้างพื้นฐานดีกว่า ขณะเดียวกัน ความกังวลด้านความปลอดภัยและภูมิรัฐศาสตร์ก็ผลักดันให้เกิดความต้องการ Sovereign Cloud หรือคลาวด์อธิปไตยที่จัดเก็บและประมวลผลข้อมูลในประเทศมากขึ้น
AR และ VR กำลังจะสมจริงยิ่งขึ้นด้วย Haptic Feedback และการผสาน AI เข้าไปช่วยในการเรนเดอร์ภาพ แม้การยอมรับยังไม่แพร่หลาย แต่ก็เริ่มเห็นการลงทุนครั้งใหม่จากยักษ์ใหญ่อย่าง Meta, Google และ Apple (Vision Pro) โดยแม้ว่า AR และ VR จะมีมาหลายปีแล้ว แต่ McKinsey มองว่าเทรนด์นี้ยังคงอยู่ในขั้นทดลอง เนื่องจากยังมีความท้าทายสำคัญในด้านฮาร์ดแวร์ ความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
ในยุคที่ AI ถูกใช้เป็นเครื่องมือโจมตี เช่น Voice Phishing หรือ "Vishing" ที่เพิ่มขึ้น 442% ในครึ่งหลังของปี 2024 ความไว้วางใจจึงกลายเป็นสินทรัพย์สำคัญ เทรนด์นี้ครอบคลุมตั้งแต่การสร้าง AI Trust, การออกกฎหมายกำกับดูแลที่เข้มข้นขึ้น (เช่น EU MiCA Regulation), ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อสร้างสินทรัพย์ดิจิทัล
เทคโนโลยีที่อาจเปลี่ยนโลกด้วยพลังการคำนวณที่เหนือกว่าคอมพิวเตอร์แบบเดิมๆ ปี 2025 ถูกประกาศให้เป็น ปีสากลแห่งวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีควอนตัม โดย UN และเราได้เห็นการแข่งขันที่ดุเดือดจากผู้เล่นรายใหญ่ เทรนด์นี้ยังอยู่ในขั้น นวัตกรรมแนวหน้า (Frontier Innovation) เพราะยังมีความท้าทายด้านเทคนิคและต้นทุนที่ต้องเอาชนะ
หุ่นยนต์กำลังฉลาดขึ้นด้วย Foundation Models และเริ่มมีรูปร่างแบบ Humanoid (เช่น Atlas ของ Boston Dynamics, Optimus ของ Tesla) เพื่อทำงานในพื้นที่ของมนุษย์ได้ นอกจากนี้หุ่นยนต์ยังขยายการใช้งานไปสู่ภาคบริการมากขึ้น เช่น หุ่นยนต์ในคลังสินค้าของ Amazon หรือหุ่นยนต์เสิร์ฟอาหาร โดยเมื่อปี 2024 ที่ผ่านมามีเม็ดเงินลงทุนมากถึง 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
เทรนด์นี้ครอบคลุมตั้งแต่ EV ที่ยอดขายในจีนพุ่งสูง แต่ชะลอตัวในสหรัฐฯ, ยานยนต์ไร้คนขับ (AV) ที่เริ่มให้บริการในหลายเมือง, โดรนส่งของ ที่คาดว่าตลาดจะโตถึง 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2034 , ไปจนถึงนวัตกรรมการเดินทางทางน้ำอย่างเรือไฮโดรฟอยล์ไฟฟ้า (เช่น Candela P-12 Nova)
การผสานวิศวกรรมเข้ากับชีววิทยา โดยมี AI เข้ามาเร่งการวิจัยและพัฒนา เราได้เห็นความก้าวหน้าในการ พิมพ์ชีวภาพ 3 มิติ (3D Bioprinting), การบำบัดด้วยการตัดต่อยีน CRISPR ที่ได้รับการอนุมัติใช้งานจริงแล้ว และการใช้ Precision Fermentation ในการผลิตโปรตีนทางเลือก
ต้นทุนการส่งจรวดที่ถูกลงอย่างมหาศาลจากจรวดที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ (เช่น Starship ของ SpaceX ตั้งเป้าลดต้นทุนเหลือเพียง $10-$30 ต่อกิโลกรัม) กำลังเปิดประตูสู่นวัตกรรมอวกาศ เราได้เห็นการเติบโตของดาวเทียม LEO, การใช้ AI ช่วยในภารกิจอวกาศ และการใช้ภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของโลก (เช่น โครงการ Carbon Mapper)
ความต้องการไฟฟ้าที่พุ่งสูงขึ้นจากดาต้าเซ็นเตอร์กำลังเป็นทั้งความท้าทายและโอกาส นวัตกรรมที่น่าจับตาคือ พลังงานนิวเคลียร์ ที่กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง, ไฮโดรเจนสะอาด, และ เชื้อเพลิงสังเคราะห์ (e-fuels) (เช่น โรงงานของ Synhelion ในเยอรมนี )
อ้างอิง : McKinsey
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด