Nir Eyal เป็นนักเขียนชื่อดังระดับ Bestseller เจ้าของเทคนิค “Hooked” ที่เขาได้ให้คำนิยามไว้ว่าเป็น “เคล็ดลับแห่งการทำงาน” ที่ทำให้เหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ได้นำไปปรับใช้ เพื่อความสำเร็จกับการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า โดยเทคนิคนี้ อาศัยการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ก่อนที่จะเสริมสร้างล้กษณะที่ทำให้ลูกค้าคุ้นชิน และกลายเป็นนิสัยต่อไปได้ ซึ่งสุดท้ายแล้ว พฤติกรรมดังกล่าว จะทำให้พวกเขาจะเลือกให้สินค้าหรือบริการจากความต้องการจริงๆ
และในปัจจุบัน Nir Eyal ได้สร้างและพัฒนาทฤษฎีใหม่ ที่ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตของตนเองได้ จากการพัฒนาทฤษฎี “Hooked” ที่ใช้เพื่อดึงดูดความสนใจ สู่หลักการ “Indistractable” ในหนังสือเล่มใหม่ขายดีอีกเล่มในชื่อว่า "Indistractable: How to Control Your Attention and Choose Your Life" ที่จะทำให้คุณมีสติกับทุกก้าวเดินในชีวิต Nir ได้กล่าวในงาน Techsauce Global Summit 2020 ไว้ว่า การใช้ทฤษฎี Indistractable นั้นจะช่วยในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ขัดต่อการทำงาน อาทิเช่น สภาพจิตใจที่วอกแวก หรือการไม่มีสมาธิ เป็นต้น
เพราะในสภาพแวดล้อมการทำงานของทุกคน ล้วนมีสิ่งที่น่าสนใจกว่างานหรือสิ่งที่ต้องทำตรงหน้าคุณเสมอ ไม่ว่าจะเป็น อีเมล การประชุม บทสนทนากับเพื่อนร่วมงาน หรือแม้กระทั่งโซเชียลมีเดีย อย่างเช่น เสียงแจ้งเตือนจากเฟสบุ๊ค หรือซีรีย์ที่ดูค้างไว้ใน Netflix สิ่งเหล่านี้ ล้วนมีผลต่อสมาธิและการทำงานของคุณทั้งสิ้น เพราะสิ่งเร้าเหล่านี้ ถูกสร้างมาเพื่อดึงดูดความสนใจ เพื่อที่จะให้เราต้องหันไปดู และลืมงานที่ต้องทำไปชั่วขณะ ผลกระทบนี้เห็นได้ชัดเจนขึ้นอีกในช่วงสภาวะโควิด-19 ที่ทำให้ชีวิตของหลายๆ คนเปลี่ยนไป ซึ่งหลักการ “Indistractable” จะช่วยให้คุณสามารถควบคุมสมาธิของตัวเองได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
โดยส่วนตัวแล้ว Nir Eyal ก็เคยมีปัญหากับการตั้งสมาธิ ซึ่งปัญหานี้ได้ส่งผลถึง ความสัมพันธ์ของเขากับสมาชิกในครอบครัว การแบ่งเวลาเพื่อชีวิตส่วนตัวของเขา และปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย
Nir ได้กล่าวว่า “ผมอยากที่จะบริหารเวลาในชีวิตได้แบบเป๊ะๆ ไม่มีปัญหากับสิ่งเร้ากวนใจ ทำสิ่งที่ตั้งใจจะทำได้ทุกอย่าง มันคงเหมือนพลังของซุปเปอร์ฮีโร่” ซึ่งเมื่อเรานำมาวิเคราะห์แล้ว การที่คุณจะมีพลัง “Indistractable” นั้น จะช่วยให้การวางแผนและการทำงานเป็นไปได้ง่ายขึ้น เพราะคุณจะสามารถทำตามแผนที่วางไว้ได้จริงๆ การผลิตชิ้นงานจะทำได้เร็วขึ้น เพราะคุณมีสมาธิจดจ่อ และสิ่งเร้าต่างๆ จะไม่ส่งผลกระทบต่อคุณ การที่คุณสามารถผลิตชิ้นงานได้อย่างรวดเร็ว และมีความตรงต่อเวลานั้น จะทำให้คนรอบตัวมองคุณเป็นมืออาชีพและพึ่งพาได้ นอกจากนี้ คุณยังจะสามารถใช้เวลาที่เหลือไปกับสิ่งอื่นๆ นอกเหนือจากการทำงาน อาทิเช่น การสานสัมพันธ์กับสมาชิกในครอบครัว หรือดูแลสุขภาพด้วยการออกกำลังกายได้อีกด้วย
ผมเชื่อว่าโลกของเรานั้น เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ซึ่งผู้ที่จะลิขิตอนาคตของตัวเอง หรือสร้างความเปลี่ยนแปลงในโลกนี้ได้ ต้องเป็นผู้ที่มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่เท่านั้น
เพื่อที่จะมีความตั้งใจแน่วแน่ ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจถึงนิยามของสิ่งกวนใจก่อนเป็นอันแรก
“หลายๆคน มีความเชื่อว่าสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับสิ่งกวนใจคือความสนใจ แต่มันไม่ได้ถูกต้องทั้งหมดหรอก สิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับสิ่งกวนใจ คือความตั้งใจต่างหาก”
สำหรับความสนใจ คุณ Nir ได้ให้คำนิยามไว้ว่า เป็นสิ่งที่ดึงรั้งคุณเข้าหาในสิ่งที่ต้องทำหรือเป็นหน้าที่ และสำหรับสิ่งกวนใจ เขาได้นิยามว่า เป็นสิ่งที่ดึงความสนใจของคุณออกไป ฉะนั้น ทุกสิ่งสามารถถือว่าเป็นความสนใจหรือสิ่งกวนใจได้หมด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับหลักความคิดและการวางแผนทั้งสิ้น
หนึ่งในเหตุการณ์ที่หลายๆ คนสามารถพบเจอได้บ่อยๆ อย่างเช่น เมื่อคุณกำลังจะตั้งใจทำงาน แล้วจิตใต้สำนึกของคุณบอกให้คุณเช็คอีเมลล์ ทั้งๆที่การเช็คอีเมลล์นั้นไม่ได้อยู่ในแผนการทำงานที่คุณตั้งใจวางแผนมาก่อน และมันก็ทำให้คุณต้องเสียเวลา แทนที่จะได้ทำงานอย่างเต็มที่ สิ่งนี้ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของสิ่งกวนใจ ซึ่งหลายๆคนอาจจะคิดว่าการทำสิ่งอื่นๆนอกแผน ที่ยังมีความเกี่ยวข้องกับการทำงาน หรือเรื่องจำเป็นอื่นๆนั้น ไม่ควรจะนับเป็นสิ่งกวนใจ แต่จริงๆแล้ว สิ่งกวนใจที่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะมองข้ามนี้ ส่งผลกระทบต่อการทำงานมากที่สุด
“ถ้าคุณมีการวางแผนเพื่อที่จะใช้เวลาไปกับเรื่องอื่นๆ ไม่ได้แปลว่าคุณเสียเวลานั้นไป”
“ถ้าคุณอยากจะพักไปเล่นเฟสบุ๊คหรือดูทีวี มันจะไม่เป็นปัญหา ถ้าคุณสามารถวางแผนและบริหารเวลาของตัวเองได้”
สิ่งกวนใจนั้น มีผลต่อเราจากทั้งสิ่งกระตุ้นภายในและภายนอก สิ่งกระตุ้นภายนอกคือสิ่งแวดล้อมต่างๆรอบตัวเรา แต่ถ้าคุณอยากมีพลัง “Indistractable” คุณควรที่จะควบคุมสิ่งกระตุ้นภายในให้ได้
สิ่งกระตุ้นภายใน สามารถนิยามได้โดยง่ายว่า เป็นจิตใต้สำนึกของคุณ ไม่ว่าจะเป็นความเบื่อ ความเหงา ความเหนื่อยความหิว หรือความเครียด ซึ่งระบบสมองของมนุษย์มักจะหาหนทางที่ทำให้ตัวเองนั้นรู้สึกดีขึ้น ด้วยการใช้สิ่งกระตุ้นภายนอก อาทิเช่น การเล่นโทรศัพท์ เล่นเกม ดูวิดีโอออนไลน์ต่างๆ เพื่อให้หายเบื่อหรือหายเหนื่อยไป จิตใต้สำนึกจึงกลายเป็นต้นเหตุของสิ่งกวนใจ และเพื่อที่จะทำให้คุณสามารถบริหารเวลาได้ดีขึ้น คุณต้องทำความเข้าใจกับต้นเหตุของปัญหานั้นเป็นอันดับแรก ด้วยการถามตัวเองว่า “ทำไม ฉันถึงเลือกมาทำสิ่งนี้ แทนที่จะทำงานหรือหน้าที่ของตัวเอง?” หรือ “ความรู้สึกที่คุณมี ณ ตอนนี้ เกิดจากอะไรกันแน่?”
การที่คุณสามารถควบคุมและเข้าใจจิตใต้สำนึกของตัวเองนั้น เปรียบเสมือนขั้นตอนแรก ของการสร้างนิสัย “Indistractable ” จากทั้งหมดสี่ขั้นตอน
ตั้งสมาธิ และอยู่กับงานให้ได้
“ความฟุ้งซ่านเป็นหนึ่งในอาการของระบบการทำงานที่ไม่ปกติ แต่เหล่าพนักงานมักจะหลีกเลี่ยงการพูดถึงปัญหานี้ เพราะพวกเขากลัวว่ามันจะมีผลกระทบต่อหน้าที่การงานในอนาคต”
การพูดถึงเรื่องสิ่งกวนใจในที่ทำงานเป็นเรื่องจำเป็นต่อการสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี โดยเฉพาะกับกลุ่มพนักงาน ที่ควรจะมีการคุยอย่างเปิดอกกับเจ้านาย ทั้งด้านการปรึกษาหารือ เรื่องการทำงาน รวมไปถึงเรื่องส่วนตัว เพื่อให้การทำงานเป็นไปได้อย่างราบรื่น
“ถ้าคุณอยากจะมีความตั้งใจในการทำงาน อย่างไม่ถูกรบกวน คุณควรรู้จักการปฏิเสธผู้อื่น”
ถ้าคุณอยู่ในตำแหน่งบริหารหรือเป็นเจ้าของกิจการ คุณคือคนที่ควรเรียนรู้ทฤษฎี “Indistractable” ที่สุด เพราะคุณจะเป็นคนที่กำหนดวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งจะส่งผลต่อวิถีชีวิตและการทำงานของทุกคนในทีมของคุณ พนักงานทั่วไปมักจะสังเกตผู้คนในตำแหน่งบริหาร และลอกเลียนแบบพฤติกรรม ฉะนั้น ผู้คนในตำแหน่งบริหารควรจะเป็นแบบอย่างที่ดี ด้วยการส่งเสริมพฤติกรรมที่สนับสนุนความตั้งใจในการทำงาน ร่วมไปกับการให้คำปรึกษาและลดทอนในเรื่องปัญหากวนใจ เพราะจริงๆแล้ว เรื่องกวนใจไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยี แต่มักจะเกิดจากวัฒนธรรมองค์กรที่หละหลวมเสียมากกว่า
และนี่เป็นเพียงตัวอย่างคอนเทนต์ที่น่าสนใจภายในงาน Techsauce Global Summit 2020 เท่านั้น ติดตามสรุปไฮไลท์ session ที่น่าสนใจได้เร็วๆ นี้หรือติดตามรายละเอียดได้ที่ http://summit.techsauce.co
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด