หลังจากทีมงาน ONNEX by SCG Smart Living พาสื่อมวลชนสำรวจระบบโซลาร์ 4 รูปแบบ ได้แก่ Solar Carport, Solar Roof, Solar Floating และ Solar Farm รวมถึง Inverter Room คณะผู้บริหารจาก SCG Smart Living ก็มาร่วมเปิดตัว “EPC+” BUSINESS MODEL ประกาศแผนรุกตลาดโซลาร์ โดยตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตและติดตั้งโซลาร์ให้โตไม่น้อยกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ภายใน 5 ปี (2025-2029) จากที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าอยู่ 200 เมกะวัตต์ ณ ปี 2024
คุณวชิระชัย คูนำวัฒนา Head of Living Solution Business ธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิ่ง กล่าวว่า ONNEX by SCG Smart Living เน้นนวัตกรรมและบริการด้านระบบโซลาร์มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2011 โดยเริ่มต้นจากการผลิตพลังงานไฟฟ้าใช้เองภายในโรงงานต่างๆ ทำให้สามารถประหยัดพลังงานได้มากสุดถึง 40% ด้วยประสบการณ์ที่มีมาอย่างยาวนาน จึงมีความพร้อมที่จะตอบรับความต้องการในตลาดโซลาร์ที่มีอัตราการเติบโตสูงมากในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการติดตั้งระบบโซลาร์ในปัจจุบันนั้นมีราคาถูกลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้ายังมีราคาสูง
"เราตั้งความหวังไว้มากและเชื่อว่าด้วยประสบการณ์มากกว่า 10 ปี เรามีศักยภาพ มีความพร้อมในทุกๆ สเกลของการทำระบบโซลาร์ ไม่ว่าจะเป็นหลังคาอาคาร หลังคาโรงงาน ที่จะทำให้ธุรกิจตอบโจทย์เทรนด์ตอนนี้และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี"
คุณดุสิต ชัยรัตน์ Smart Home Living Solution Director ธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิ่ง กล่าวว่า ด้วยแนวโน้มตลาดที่เปลี่ยนไป ทั้งด้วยนโยบายจากภาครัฐและจากความต้องการของลูกค้าในการใช้พลังงานสะอาด อีกทั้งในระยะหลังมีนักลงทุนที่สนใจลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดมากขึ้นจากผลตอบแทนการลงทุนที่ดีและมีความผันผวนต่ำในระยะยาว
"ทาง ONNEX by SCG Smart Living จัดให้มีบริการ EPC (Engineering Procurement and Construction) ทั้งด้านการออกแบบทางวิศวกรรม การขออนุญาตโครงการ รวมถึงการติดตั้งโครงสร้างระบบแบบครบวงจรอยู่แล้ว เพื่อขยายตลาดให้เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง จึงได้เตรียมกลยุทธ์ EPC+ Business Model ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับผู้เกี่ยวข้องแต่ละกลุ่มในระบบโซลาร์ ที่จะช่วยสร้าง ecosystem ให้แข็งแกร่งเพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจโซลาร์ให้สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งกลุ่มธุรกิจ ผู้ประกอบการ และนักลงทุน ส่งผลดีให้กับกลุ่มผู้บริโภค เพื่อลดภาวะโลกร้อนและสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ โดยคาดว่า EPC+ Business Model จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งในระบบพลังงานโซลาร์รวมแล้วไม่น้อยกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ภายใน 5 ปี”
เหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเปลี่ยนระบบไฟฟ้าพื้นฐานมาติดตั้งระบบโซลาร์ นอกจากธุรกิจจะได้ใช้พลังงานสะอาดแล้ว ผู้ประกอบการยังได้ประโยชน์จากส่วนลดค่าไฟสูงสุดถึง 40% ซึ่งแผน EPC+F นี้ ทางผู้ประกอบการไม่ต้องลงทุนเอง แต่ทาง ONNEX จะดำเนินการหาผู้ลงทุนให้
เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เป็นกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ สถาบัน กองทุน ที่สนใจลงทุนในโครงการโซลาร์ แต่ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีทีมงานจัดทำโครงการ หรือไม่สามารถหาโครงการที่เหมาะสมได้ โดยทาง ONNEX จะทำหน้าที่คัดสรรโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายการลงทุน ขนาดโครงการ ความเสี่ยง และผลตอบแทนที่มีผลประโยชน์สูงสุดให้แก่ผู้ลงทุน
เหมาะสำหรับเจ้าของโครงการที่ติดตั้งโซลาร์ในหลายโครงการ และเริ่มมีปัญหาในการบริหารจัดการแบบองค์รวม (Centralized monitoring & maintenance) ทาง ONNEX มีบริการตั้งแต่ Efficiency Audit, การทำ Centralized Dashboard ตลอดจนการดูแลระบบให้สามารถผลิตไฟได้ตามเป้าหมาย โดยมี Performance Warranty ในกรณีที่ลูกค้าต้องการ เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าไฟฟ้าที่ผลิตได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางแผนไว้
เป็นรูปแบบความร่วมมือกับพันธมิตรใน EPC ด้วยกัน โดยมีแนวคิดที่จะช่วยให้ในกลุ่มพันธมิตรสามารถมีศักยภาพในการบริหารต้นทุนที่ดีที่สุดในระบบการจัดซื้อ (Cost effectiveness) โดยทาง ONNEX มีแผนงานเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาแผงและอุปกรณ์ต่างๆ ในระบบโซลาร์ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว โดย EPC+Alliance เริ่มดำเนินการแล้วและเปิดรับกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความสนใจร่วมกันอยู่ในขณะนี้
เหมาะสำหรับตัวแทนอิสระ บุคคลทั่วไป ที่มีเครือข่ายลูกค้าซึ่งมีศักยภาพในธุรกิจโซลาร์ สามารถเข้ามาเป็น Authorized Referral ได้ เพื่อร่วมธุรกิจและรับผลตอบแทนจากโครงการ
ด้าน คุณสุชาติ นอกพุดซา Associate Director – Solar Roof ธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิ่ง กล่าวว่า ONNEX by SCG Smart Living มีประสบการณ์ในการติดตั้งระบบโซลาร์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ครบทุกรูปแบบ (Solar Roof, Solar Floating, Solar Farm และ Solar Carport) ที่ผ่านมา สามารถผลิตพลังงานสะอาดไปแล้วกว่า 200 เมกะวัตต์ (MWp) และยังมีโครงการที่อยู่ในระหว่างดำเนินการอีกถึง 400-600 เมกะวัตต์ (MWp)
"พื้นที่โซลาร์ฟาร์มขนาด 47.5 ไร่ ที่จังหวัดสระบุรี ถือเป็นโซลาร์ฟาร์มต้นแบบที่นำเสนอแพลตฟอร์มการบริหารจัดการพลังงานโรงไฟฟ้าเสมือนจริง (Virtual Power Plant) ภายใต้แนวคิด Smart Utilization - Smart Investment - Smart Flexibility และ Smart Monitoring ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถรับรู้ปริมาณการผลิตโซลาร์และการนำพลังงานสะอาดไปใช้อย่างเหมาะสม ซึ่งถือเป็นโซลาร์ฟาร์มต้นแบบที่มีความสำคัญอย่างมากในการผลิตพลังงานไฟฟ้าเพื่อใช้ในโรงงานต่างๆ ในพื้นที่ โดยในส่วนของอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ที่ทาง ONNEX by SCG Smart Living เคย Develop ได้สูงสุดจะอยู่ที่ IRR 34% และระยะเวลาคืนทุนภายใน 3 ปี"
โมเดลธุรกิจทั้ง 5 รูปแบบข้างต้นสะท้อนว่า ONNEX by SCG Smart Living ให้บริการระบบโซลาร์ในลักษณะ 'Service Based' ทั้งสำหรับบุคคลและนิติบุคคล โดยกลุ่มที่มุ่งทำตลาดคือ EPC+F และ EPC+D ซึ่งเป็นโมเดลที่ช่วยแมตช์ความต้องการของผู้ลงทุนกับผู้ให้บริการด้านพลังงานสะอาด นอกจากนี้ ONNEX by SCG Smart Living ยังชูจุดขายเพิ่มเติมด้วยว่า ลูกค้าจะได้ทุนคืนภายใน 3-5 ปี หากไม่สามารถคืนทุนได้ตามที่ระบุหรือทำสัญญาไว้ บริษัทจะจ่ายส่วนต่างให้
จากโจทย์เพื่อใช้พื้นที่ลานจอดรถขนาด 3 ไร่ ให้สร้างประโยชน์เพิ่มขึ้นด้วยการติดตั้งระบบโซลาร์เพื่อผลิตไฟฟ้าให้กับสำนักงานใหญ่ ซึ่งความท้าทายของโครงการนี้คือ จำเป็นจะต้องคืนพื้นที่หน้างานให้เร็วที่สุดเพื่อให้ไม่เกิดปัญหาการก่อสร้างในพื้นที่จอดรถนานเกินไป การวางแผนการติดตั้งระบบโซลาร์ จึงใช้โครงสร้างที่ออกแบบและก่อสร้างจากโรงงานเพื่อลดเวลาติดตั้งหน้างาน ที่สำคัญไม่มีปัญหาเรื่องน้ำรั่วซึมจากแผงโซลาร์ จึงคุ้มค่ากับงบประมาณที่ลงทุนในระยะยาว โดยระบบ Solar Carport ที่ SCG ทำ เป็นหนึ่งในโครงการตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงการลงรายละเอียดด้านการออกแบบและคุณภาพของแผงโซลาร์จาก ONNEX by SCG Smart Living
เปลี่ยนพื้นที่หลังคาให้เป็นพื้นที่สร้างพลังงานสะอาด Solar Roof Top เป็นระบบโซลาร์ที่ใช้งบลงทุนประหยัดที่สุด เนื่องจากเป็นการติดตั้งกับหลังคาที่ส่วนใหญ่จะมีโครงสร้างมาตรฐานอยู่แล้ว จึงลดงบประมาณลงทุนในส่วนโครงสร้าง และอุปกรณ์ต่างๆ และการติดตั้งระบบโซลาร์บนหลังคาก็ทำได้ง่ายกว่าการติดตั้งในระบบอื่นๆ โดยในพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ของ SCG มีค่าใช้จ่ายต้นทุนด้านพลังงานมากกว่าครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายทั้งหมด การใช้พื้นที่บนหลังคาที่มีขนาดใหญ่ถึง 13 ไร่ มาสร้างให้เป็นพื้นที่สร้างพลังงานสะอาด จึงเป็นการลงทุนที่มีความคุ้มค่าอย่างมากในการช่วยลดต้นทุนทางธุรกิจ
ระบบโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ เป็นระบบที่แผงโซลาร์เซลล์สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้มากกว่าระบบโซลาร์อื่น ๆ ถึงประมาณ 5-20% แม้จะมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า เนื่องจากต้องติดตั้งแผงด้วยทุ่นลอยน้ำ แต่ก็มีข้อได้เปรียบเรื่องการระบายอากาศและอุณหภูมิที่เย็นกว่า ทำให้ประสิทธิภาพในการสร้างพลังงานของแผงโซลาร์เพิ่มขึ้น โดยพื้นที่ในการติดตั้ง Solar Floating มักเป็นการเพิ่มมูลค่าให้พื้นที่บ่อพักน้ำสะอาดให้เกิดประโยชน์ ทั้งนี้การออกแบบระบบ Solar Floating จะมีต้นทุนการก่อสร้างทุ่นและระบบยึดโยงทุ่นที่ต้องคำนวณเผื่อระดับการขึ้น-ลงของน้ำตามหน้างานที่เพิ่มเติม
Solar Farm ขนาด 7.2 MWp ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 47.5 ไร่ เปรียบเสมือนเป็น Outdoor Experimental Space หรือพื้นที่ทดสอบประสิทธิภาพของระบบโซลาร์อย่างครบวงจร ทั้งในด้าน 1) คุณภาพและประเภทของแผงโซลาร์ชนิดต่างๆ 2) การติดตั้งแผงโซลาร์ในจุดที่เหมาะสมเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างพลังงานไฟฟ้า 3) การติดตั้ง Inverter, Energy Storage รวมถึงเทคโนโลยีด้านต่างๆ ที่ใช้ในระบบโซลาร์ เพื่อสร้างความเข้าใจและมั่นใจจากประสบการณ์ที่สามารถสัมผัสระบบโซลาร์ได้บนพื้นที่จริง
ในส่วนของ INVERTER ROOM ขนาด 7.2 MWp ตรง Solar Farm ประกอบด้วย Inverter ทำหน้าที่แปลงไฟฟ้ากระแสตรงเป็นกระเเสสลับ และ Energy Storage ขนาด 200 kWh ทำหน้าที่สำรองไฟฟ้าจากระบบโซลาร์และเก็บไฟฟ้าในช่วงค่าไฟ Off Peak มาใช้ในช่วงค่าไฟ On Peak (Energy Arbitrage) และยังมีฟังก์ชันอื่นๆ อาทิ Peak Shaving ที่จะจ่ายพลังงานออกมาจากแบตเตอรี่ ในช่วงเวลาที่มีการใช้โหลดไฟฟ้าสูงสุด เพื่อลดภาระค่า Peak Demand จากการไฟฟ้า
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ONNEX Solar หรือสนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในแผน EPC+ Business Model สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.onnexbyscg.com/th/product/solar-solutions และไลน์ @SCGSolarRoof หรือสอบถามได้ที่เบอร์ 02-586-2222
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด