จากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้คนเริ่มเกิดการเรียนรู้ ปรับตัว และเตรียมแผนรับมือกับวิกฤตที่ไม่สามารถคาดเดาได้มากขึ้น วันนี้ Techsauce จึงสรุปจึงสรุปบทสนทนาในหัวข้อ Are We Ready for the Next Pandemic? Lessons from COVID-19 and Preparing for Future Crisis ระหว่าง Chris Yeh ผู้เขียนหนังสือกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ขายดีระดับโลกอย่าง Blitzscaling : The Lightning-Fast Path to Building Massively Valuable Companies, คุณธีรนันท์ ศรีหงส์ ประธานกรรมการกำกับ Depa (Digital Economy Promotion Agency) ผู้บริหารที่มีประสบการณ์มากมายในหลายอุตสาหกรรม ปัจจุบันดำรงตำแหน่งทั้งประธานกรรมการและกรรมการอิสระในบริษัทชั้นนำกว่า 10 แห่ง และคุณสันติธาร เสถียรไทย ประธานทีมเศรษฐกิจ (Group Chief Economist) และกรรมการผู้จัดการ SEA Group
ดำเนินรายการโดย คุณ Annie Luu, Global VP และ Head of High Growth Ventures at Fingerprint for Success (F4S) แพลตฟอร์มการวิเคราะห์ทัศนคติและแรงจูงใจ เพื่อสร้างมาตรฐานความสามารถและขอบเขตความสามารถของบุคคล ทีม และองค์กร จากงาน TECHSAUCE GLOBAL SUMMIT2022 มาให้ทุกท่านได้ติดตามกัน
คุณ Chris Yeh คิดว่าบทเรียนเดียวที่ได้จากการระบาดใหญ่ของ Covid-19 คือภาครัฐและเอกชนจำเป็นต้องร่วมมือกันและปรับตัวอย่างรวดเร็ว โดยอาศัยความร่วมมือจากเหล่าสตาร์ทอัพ เพราะจะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นเร็วขึ้น และเป็นความรับผิดชอบของทุกคนที่จะต้องเรียนรู้วิธีปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้
สำหรับดร.สันติธารมองว่าโรคระบาดจะกลายเป็นเรื่องธรรมดา และเราจำเป็นต้องเตรียมพร้อมและใช้ประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนรู้จากโควิด-19 เพื่อให้ทุกคนสามารถรับมือกับวิกฤตได้ดีขึ้นและรวดเร็วโดยมี 3 ปัจจัยที่ควรคำนึกถึงได้แก่
และเมื่อพบเจอกับวิกฤตแล้ว สิ่งแรกที่สำคัญมากคือต้องทำลายระบบที่ต่างคนต่างทำงาน ไม่ว่าในระดับบุคคล ระดับองค์กร และระดับประเทศเพราะแต่ละหน่วยงานย่อมมีทรัพยากรที่จำกัด ดังนั้นควรสร้างความร่วมมือและช่วยเหลือกันและกันมากกว่าเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาที่รวดเร็ว
คุณ Chris Yeh มองว่าหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ต้องมีเมื่อเกิดวิกฤต คือ ต้องมีความยืดหยุ่น หรือความสามารถในการปรับตัว รองลงมาคือการสร้างเครือข่ายที่ครอบคลุมและลื่นไหลเพื่อให้การทำงานร่วมกันในองค์กรเป็นไปได้อย่างราบรื่น และสุดท้ายคือเปลี่ยนจากการจัดการแบบรวมศูนย์เป็นแบบกระจายศูนย์ ตัวอย่างหนึ่งคือ Airbnb ที่สามารถตอบสนองได้รวดเร็ว และกล้าที่จะตัดสินใจเลิกจ้างพนักงานถึง 25% แต่ก็มีวิธีเยียวยาพนักงาน และทำให้บริษัทสามารถกลับมาได้อีกครั้ง (อ่านต่อเรื่องนี้) ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจกลับมาได้คือการมีเครือข่ายที่กว้างขวางและหลากหลาย รวมถึงการพยายามเข้าถึงผู้อื่นและชุมชน
จากมุมมองของคุณธีรนันท์ ศรีหงส์ ประธานกรรมการกำกับ Depa นั้นมองว่ารัฐบาลและกระทรวงของต่างๆ ของไทยยังได้เรียนรู้วิธีการรวบรวมทุกคนที่สามารถอำนวยความสะดวกและร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในการใช้ระบบดิจิทัลที่อำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากการติดเชื้อไปยังโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วและปลอดภัย ซึ่งระบบนี้ไม่มีปัญหาคอขวดเหมือนที่พบกันในหลายประเทศ และระบบสาธารณสุขของไทยก็รองรับผู้ป่วยได้ทั่วประเทศ ส่วนฝั่งของประชาชนเองก็มีการเรียนรู้ในการใช้เทคโนโลยีที่รวดเร็วมาก และมีความสามารถในการปรับตัวสูง
และเมื่อถามถึงในส่วนของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและแผนสนับสนุนระบบนิเวศของสตาร์ทอัพของไทย คุณธีรนันท์ได้ให้คำตอบว่าทาง Depa เองไม่ได้เน้นไปที่เทคโนโลยีในอุตสาหกรรมใดโดยเฉพาะ ซึ่งประการแรกสิ่งที่ Depa ทำในตอนนี้คือการช่วยพัฒนาทักษะบุคลากรให้เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน data science, การวิเคราะห์ทางวิศวกรรมข้อมูล, และการจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านทรัพยากรบุคคลด้วย ประการที่สองคือ Big Data ที่เราตั้งเป้าหมายว่าจะสร้างคนได้มากถึง 5,000 คนในช่วงห้าปีข้างหน้า อย่างไรก็ตามคุณธีรนันท์ซึ่งถือว่าเป็นคนอยู่ระหว่างคนรุ่นใหม่ที่มีทักษะด้านดิจิทัล โดยแบ่งทักษะออกเป็น 5 ทีมหลัก ได้แก่ วิเคราะห์หุ่นยนต์คลาวด์และเอดจ์คอมพิวติ้ง, IoT อัตโนมัติ, กระบวนการอัตโนมัติของ AI บล็อกเชนความปลอดภัยทางไซเบอร์ของเว็บ 3.0 เสมือนจริงและพื้นที่ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นดิจิทัลล้วนๆ ประการที่สามคือการลงทุน อาจไม่สามารถทำได้ในแง่ของตัวเลข ดังนั้นจึงต้องการทำงานร่วมกับพันธมิตร ซึ่งรวมถึงในบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่จากประเทศจีนด้วย และยังดึงดูดเยาวชนที่มีความสามารถจากประเทศเพื่อนบ้านมาที่ประเทศไทยด้วย เพราะยังต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีมากขึ้น นอกจากนี้ Depa จะช่วยส่งเสริมการสร้างระบบนิเวศที่เหมาะสมในวงการเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ
คุณ Chris Yeh มองว่าจำเป็นต้องมี Tech Talent ที่สร้างบริษัทขึ้นมาและสามารถดึงดูดผู้คนจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น ใน Silicon Valley มี Hewlett Packard แล้วก็มี Fairchild Semiconductor ซึ่งถือเป็นพื้นที่ฝึกอบรมสำหรับผู้ก่อตั้งบริษัทรุ่นต่อไป เป็นที่ที่ผู้ประกอบการรุ่นต่อไปได้เรียนรู้วิธีทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จ แต่นอกเหนือจากนี้วัฒนธรรมองค์กรก็เป็นสิ่งสำคัญ อย่างวัฒนธรรมที่เปิดโอกาสให้ทดลองสิ่งใหม่ๆ สิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน ดังนั้นคนที่เต็มใจละทิ้งบทเรียนในอดีตก็เต็มใจที่จะเลิกเรียนบทเรียนเหล่านั้นแล้วมีวิจารณญาณในการมองออกไปสู่โลกเพื่อเรียนรู้จากผู้อื่นที่อาจเป็นผู้บุกเบิกจนอาตเกิดเป็นนวัตกรรมใหม่ และประสบความสำเร็จได้อย่างแท้จริง
ผู้ร่วมอภิปรายแต่ละคนได้แบ่งปันแนวคิดเกี่ยวกับความพร้อมของทุกคนในการตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ทั่วโลกครั้งต่อไป
อย่างไรก็ตาม ทุกคนต้องมีความยืดหยุ่นและเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว บริษัท สตาร์ทอัพ และรัฐบาลต้องจัดให้มีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับชุมชนในการทำงานร่วมกัน และสร้างเครือข่ายที่หลากหลายเพื่อให้เกิดการเรียนรู้จากกันและกัน โดยความพร้อมในการรับมือกับวิกฤตขึ้นอยู่กับความสามารถของภาคส่วนเหล่านี้ในการเรียนรู้ ปรับตัว และทำงานร่วมกัน
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด