ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา บริษัทต่างๆ ต้องต่อสู้กับ ‘ความไม่แน่นอน’ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ครั้งแรกคือ Brexit ในปี 2016 ตามด้วยการเลือกตั้งประธานธิบดีของสหรัฐ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ การระบาดใหญ่ของโควิด-19 และสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ในปี 2022
ผลกระทบเหล่านี้สะท้อนถึงความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยได้รับอิทธิผลจากการกระจายตัวทางการเมืองทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สร้างความสั่นสะเทือนทางเศรษฐกิจที่เหล่าบริษัทอาจจะต้องตระหนักถึง
ความไม่แน่นอนนี้อาจจะเกิดขึ้นพร้อมเศรษฐกิจเช่นเดียวกันกับการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ที่ทำให้สูญเสียพลังงานและการส่งเสบียงอาหารต้องหยุดชะงัก และทำให้ราคาสูงขึ้น หรือการเลือกตั้งของสหรัฐฯที่สร้างความไม่แน่นอนให้กับบริษัทต่างๆ เป็นอย่างมาก โดยส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
มีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าความไม่แน่นอนเหล่านี้ล้วนกระทบต่อบริษัทต่างๆอย่างแท้จริงและเกิดขึ้นบ่อยด้วยซ้ำ โดยได้สรุป สามสิ่งที่สามารถบูรณาการเข้ากับแผนธุรกิจได้สามประการได้แก่ การติดตามเหตุการณ์ทั่วโลกอย่างใกล้ชิด การกระจายความยืดหยุ่น และ การพิจารณแผนฉุกเฉิน
โดยธรรมชาติแล้ว ความไม่แน่นอนนั้นยากต่อการนิยาม ซึ่งเราได้ศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจมากว่า 25 ปี และพบว่าวิธีที่ดีที่สุดคือใช้การปฏิบัติอย่างจริงจัง ซึ่งหน่วยข่าวกรองเศรษฐศาสตร์ได้จัดทำรายงานความยาวกว่า 30 หน้าในกว่า 140 ประเทศ และวิเคราะห์คำว่า ‘ความไม่แน่นอน’ ในรายงานเหล่านี้ โดยได้มุ่งเป้าไปที่ธุรกิจและนักลงทุนระดับชาติและข้ามชาติ เพื่อให้เปรียบเทียบดัชนีได้ในแต่ละประเทศ จากนั้นเราได้ปรับจำนวนลำดับตามจำนวนคำทั้งหมดในแต่ละรายงาน ให้น้ำหนักตาม GDP แต่ละประเทศ เพื่อวัดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั่วทั้งโลก
นับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกในปี 2008 และวิกฤตหนี้ยุโรปที่ตามมา ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและนโยบายก็เพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นในปี 2016 จนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2020 ด้วยการระบาดของโควิด-19 ที่ลดลงในปี 2021 และกลับมาอีกครั้งนับตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครน
ข้อดีอย่างหนึ่งของวิธีการนี้ เราสามารถแยกตัวขับเคลื่อนของความไม่แน่นอนออก โดยการวิเคราะห์คำที่ปรากฏควบคู่ไปกับการระบุความไม่แน่นอนในชุดข้อมูล จากแนวทางดังกล่าว พบว่าในเดือนมิถุนายน 2016 ความไม่แน่นอนที่เกิดจากสถานการณ์ Brexit ของสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นหลังจากการโหวต Leave ที่ไม่คาดคิด สิ่งนี้ถูกครอบงำโดยความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากสหรัฐอเมริกาหลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดี ในปี 2018 จีน-สหรัฐฯ ความตึงเครียดทางการค้าเริ่มก่อให้เกิดความไม่แน่นอนครั้งใหญ่สำหรับประเทศต่างๆ ทั่วโลก กลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเดียวที่ใหญ่ที่สุด และในปี 2020 การระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19 ได้เพิ่มสูงขึ้นในฐานะตัวขับเคลื่อนหลักของความไม่แน่นอนทั่วโลก โดยเพิ่งถอยกลับไปเมื่อไม่นานนี้และได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากสงครามในยูเครน ความไม่แน่นอนทางการค้าที่เกิดขึ้นใหม่ซึ่งเกี่ยวข้องกับการคว่ำบาตรรัสเซียด้วยเช่นกัน
ความสั่นสะเทือนระดับโลกเหล่านี้ยังคงอยู่ แม้ว่าแต่ละเหตุการณ์จะแตกต่างกัน หัวข้อทั่วไปคือการกระจายตัวของเศรษฐกิจและภูมิศาสตร์ที่มากขึ้นและการเมืองที่มีการแบ่งขั้วมากขึ้นในสหรัฐอเมริกาและยุโรป มีแนวโน้มเหล่านี้กำลังเพิ่มความไม่แน่นอนทั่วโลกและจะไม่หายไป
ประการแรก คือการให้ความสนใจกับเศรษฐกิจและการเมืองทั่วโลกให้มากกว่าที่เคย ในช่วงเวลาปกติ บริษัทต่างๆควรให้ความสำคัญกับคำโบราณที่ว่า ‘ธุรกิจของธุรกิจก็คือธุรกิจ’ (การให้ความสำคัญกับธุรกิจในแง่มุมที่สำคัญ) แต่ในช่วงเวลาแห่งความโกลาหล การติดตามเหตุการณ์ปัจจุบันก็มีคุณค่าที่จะทำให้บริษัทหลีกเลี่ยงได้ และไม่ตระหนกตกใจจนเกินไป สำหรับบริษัทขนาดใหญ่อาจจะมีประโยชน์ในแง่การควบคุมกระบวนการและการล็อบบี้ การลงทุนในบุคลากรและเครื่องมือเพื่อติดตามวิกฤตทางการเมืองอย่างใกล้ชิด โดยมุ่งเน้นเป็นพิเศษในประเด็นที่ส่งผลต่อธุรกิจมากที่สุด
ประการที่สอง การกระจายความยืดหยุ่นในองค์กรไม่ว่าจะเป็นการเช่ามากกว่าซื้อในอสังหาริมทรัพย์ การจ้างฟรีแลนซ์มากกว่าพนักงานประจำ การเช่ามากกว่าการซื้ออุปกรณ์ การจ่ายมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงภาระผูกพันระยะยาว เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะทำให้บริษัทคล่องตัวเมื่อต้องเผชิญกับแรงกระแทกครั้งใหญ่
ประการสุดท้าย การวางแผนฉุกเฉิน ดังเช่นเมื่อเกิดผลกระทบใหญ่ อย่างสงครามในยูเครน การตัดสินใจอย่างรวดเร็วนั้นมีค่ามหาศาล เพราะบริษัทที่มีแผนฉุกเฉินจะสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและลดความเสี่ยงได้ ซึ่งการทำแผนการฉุกเฉินนั้นเปรียบเสมือนการทำประกันให้บริษัท บริษัทอาจจะไม่ต้องใช้แต่สิ่งเหล่านี้จะเป็นแผนสำรองสำหรับสถานการณ์ทั่วโลกที่กำลังผันผวนมากกว่าที่เคย
กล่าวโดยสรุปได้ว่า นักวิจัยได้บันทึกความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยใช้มาตรการแบบข้อความที่ติดตามคำอธิบายของสภาพเศรษฐกิจโดย Economist Intelligence Unit งานดังกล่าวไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นว่าความไม่แน่นอนกำลังเพิ่มสูงขึ้น แต่ยังชี้ให้เห็นถึงวิกฤต 5 ประการที่ผลักดันให้เกิด ซึ่งรวมถึงครั้งล่าสุดที่เกิดการรุกรานยูเครน นักวิจัยยังแนะนำกลยุทธ์ในการจัดการกับความไม่แน่นอน นั่นคือให้ความสำคัญกับวิกฤตทางการเมืองมากขึ้น เนื่องจากจะส่งผลต่อธุรกิจของคุณต่อไป ยินดีจ่ายสำหรับความยืดหยุ่นเพื่อให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนได้ง่ายขึ้นในอนาคต และลงทุนในการวางแผนฉุกเฉินเพื่อรับการปฏิบัติเพื่อตอบสนองต่อความสั่นสะเทือนทางเศรษฐกิจและการเมือง
อ้างอิง Harvard Business Review
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด