
Techsauce ชวนเจาะลึกบทสัมภาษณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟระหว่าง Sam Altman, CEO ของ OpenAI ผู้สร้างปรากฏการณ์อย่าง ChatGPT และ Garry Tan, ประธานของ Y Combinator การสัมภาษณ์ครั้งนี้ไม่ได้เปิดเผยมิติใหม่ของเทคโนโลยีที่กำลังจะมาถึงเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยบทเรียน, แนวคิดการสร้างธุรกิจ และวิสัยทัศน์ที่อาจกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไปอีกหลายทศวรรษ
Garry Tan เริ่มต้นบทสนทนาด้วยการถามถึงจุดเปลี่ยนเล็กๆ ที่ส่งผลกระทบยิ่งใหญ่ต่อ OpenAI ซึ่ง Sam Altman ได้ย้อนความหลังไปถึงช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
"แค่การตัดสินใจ 'เริ่มทำ' ก็เป็นเรื่องใหญ่มากแล้ว" Altman กล่าว "เราเกือบจะไม่ได้ก่อตั้ง OpenAI ด้วยซ้ำ แนวคิดเรื่อง AGI (Artificial General Intelligence) ในตอนนั้นฟังดูบ้าบอมาก ผมยังมีตำแหน่งเดียวกับแกรี่ และมีสตาร์ทอัพดีๆ ที่มีโอกาสสำเร็จสูงอยู่เต็มไปหมด AGI มันเหมือนความฝันลมๆ แล้งๆ"
เขายอมรับว่า แม้จะมองเห็นความเป็นไปได้ แต่ DeepMind ก็ดูนำหน้าไปไกลเกินกว่าจะตามทัน การตัดสินใจในปี 2015 จึงเป็นเหมือนการโยนหัวก้อย "มันต้องอาศัยกลุ่มคนที่เป็นแกนหลักจริงๆ ที่นั่งลงในห้องประชุม มองตากัน แล้วพูดว่า 'เอาล่ะ เรามาทำสิ่งนี้กัน' ช่วงเวลาแบบนั้นสำคัญมาก และเมื่อไหร่ที่คุณลังเล คุณควรจะเลือกที่จะลุยต่อ"
บรรยากาศของวงการ AI เมื่อ 10 ปีที่แล้วแตกต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง Altman เล่าว่า "ตอนนั้นยังไม่มี Language Model ที่ใช้งานได้จริงด้วยซ้ำ เรายังเล่นวิดีโอเกมกันอยู่ มีแขนหุ่นยนต์เล็กๆ ที่แทบจะบิดรูบิคไม่สำเร็จ ไม่มีไอเดียเรื่องผลิตภัณฑ์ ไม่มีรายได้ และไม่รู้ว่าจะหารายได้มาได้อย่างไร ChatGPT ในตอนนั้นมันดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ดีๆ นี่เอง"
การประกาศเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่อย่าง AGI ทำให้คน 99% มองว่าพวกเขาบ้า แต่กลับดึงดูด 1% ที่เป็นคนเก่งระดับหัวกะทิให้มารวมตัวกันได้ "เมื่อคุณทำในสิ่งที่คนอื่นทำกันหมด มันยากที่จะดึงคนเก่งมารวมกัน แต่ถ้าคุณทำในสิ่งที่เป็น 'หนึ่งเดียว' (one-of-one) คุณจะได้เปรียบอย่างมาก"
Altman ยังย้ำถึงปรัชญาการเริ่มต้นที่สำคัญว่า "ไม่มีอะไรที่ยิ่งใหญ่แล้วเริ่มต้นอย่างยิ่งใหญ่" โดยอ้างอิงคำพูดของ Vinod Khosla ที่ว่า “สตาร์ทอัพมูลค่า 0 ล้านดอลลาร์ กับ 0 พันล้านดอลลาร์ ต่างก็เริ่มจากคนไม่กี่คนและไม่มีรายได้เหมือนกัน สิ่งสำคัญคือการเลือกตลาดที่ "สามารถยิ่งใหญ่ได้" แล้วค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้า”
เมื่อพูดถึงโมเดลล่าสุดอย่าง GPT-4o, Altman ชี้ให้เห็นถึง "Product Overhang" หรือศักยภาพของโมเดลที่ล้ำหน้าไปมาก แต่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ประโยชน์จากมันยังตามหลังอยู่ไกล "ต่อให้โมเดลไม่เก่งไปกว่านี้ (ซึ่งจริงๆ มันจะเก่งขึ้นอีกเยอะ) แต่ต้นทุนการใช้งานก็ถูกลงอย่างรวดเร็ว แค่สัปดาห์ก่อน GPT-4o ยังแพงกว่าสัปดาห์นี้ 5 เท่าเลยครับ และราคามันจะยังคงลดลงต่อไปอีก"
เขายังเปิดเผยว่าโมเดล Open-source ตัวใหม่กำลังจะมา และมันจะดีเกินกว่าที่ทุกคนคาดหวัง ซึ่งจะทำให้การรันโมเดลที่ทรงพลังบนเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัว (Locally) กลายเป็นจริง
สำหรับฟีเจอร์ใหม่ Altman ยกให้ "Memory" เป็นฟีเจอร์โปรดแห่งปี โดยเขาเล่าว่า "มันชี้ให้เห็นทิศทางที่เรากำลังจะไป นั่นคือ AI ส่วนบุคคล (Personal AI) ที่เรียนรู้เกี่ยวกับคุณ เชื่อมต่อกับข้อมูลของคุณ และช่วยเหลือคุณในเชิงรุก"
วิสัยทัศน์นี้คล้ายกับภาพยนตร์เรื่อง "Her" ซึ่งออกฉายในปี 2013 ที่ AI จะไม่ใช่แค่เครื่องมือตอบคำถาม แต่เป็นเพื่อนคู่คิด (Companion) ที่ทำงานเบื้องหลังตลอดเวลา และจะชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อ OpenAI เปิดตัว "อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ใหม่"
นี่คือเหตุผลที่ OpenAI ดึงตัว Jony Ive อดีตหัวหน้านักออกแบบของ Apple มาร่วมงานในครั้งนี้ "เรามีการปฏิวัติอินเทอร์เฟซคอมพิวเตอร์ครั้งใหญ่แค่ 2 ครั้งในรอบ 50 ปี คือ คีย์บอร์ด/เมาส์ และระบบสัมผัส/โทรศัพท์ AI กำลังเปิดสนามแข่งขันสำหรับอินเทอร์เฟซรูปแบบใหม่โดยสิ้นเชิง และถ้าคุณต้องเดิมพันว่าใครคนหนึ่งจะคิดค้นอินเทอร์เฟซต่อไปได้ Jony คือตัวเลือกที่ชัดเจนที่สุด"
Altman เชื่อว่าอนาคตของ Software as a Service (SaaS) จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง LLM จะสามารถสร้างซอฟต์แวร์หรือ UI แบบ "Just-in-time" ได้ ซึ่งเขามองว่าตอนนี้คือ "ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์เทคโนโลยีที่จะเริ่มบริษัท" เพราะนี่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และรุนแรงในระดับรากฐานของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ซึ่งเป็นโอกาสทองของสตาร์ทอัพที่คล่องตัวกว่าบริษัทใหญ่
สำหรับวิสัยทัศน์โมเดลในอนาคตอย่าง GPT-5 และรุ่นถัดๆ ไป Altman ต้องการสร้าง "โมเดลหนึ่งเดียวที่ผสมผสานทุกอย่าง" (One Integrated Model) ที่สามารถให้เหตุผลเชิงลึก สร้างวิดีโอเรียลไทม์ เขียนโค้ด และสร้างแอปได้ในตัวเดียว ซึ่งจะนำไปสู่ยุคของ Embodied Robot หรือหุ่นยนต์ที่มีตัวตน
"กลยุทธ์ของเราคือ ทำให้เรื่อง 'การรับรู้และความคิด' (Cognition) สมบูรณ์แบบก่อน จากนั้น เชื่อมต่อมันเข้ากับหุ่นยนต์" Altman มองว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หุ่นยนต์จะสามารถทำงานที่มีประโยชน์มหาศาล และอาจช่วยแก้ปัญหาซัพพลายเชนและนำฐานการผลิตกลับสู่สหรัฐฯ (Reshoring) ได้จริง
Altman ได้แบ่งปันบทเรียนที่เจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธ โดยเล่าถึงอีเมลจาก Elon Musk ที่เคยเป็นฮีโร่ของเขา ซึ่งบอกว่า OpenAI มี "โอกาสสำเร็จ 0%" หลังจากได้เห็น GPT-1 "คุณทุ่มเทชีวิตให้กับบางสิ่ง แล้วคนเก่งๆ ที่คุณชื่นชมมาบอกว่ามันสิ้นหวัง... ไม่มีคำตอบวิเศษอะไรเลย นอกจาก: ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ ปัดฝุ่น แล้วไปต่อ"
ในด้านการจ้างงาน เขาเน้นย้ำปรัชญาของ Patrick Collison ที่ว่า "จ้างคนที่ 'ความชัน' (Slope) ไม่ใช่ 'จุดตัดแกน Y' (y-intercept)" หมายถึงให้มองหาคนที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างรวดเร็ว (Velocity) มีความอยากรู้อยากเห็น และมีความทรหด มากกว่าคนที่มีโปรไฟล์สวยหรูแต่พัฒนาการคงที่
เมื่อมองไปอีก 10-20 ปีข้างหน้า Altman เชื่อว่าเราจะมี "ซูเปอร์อินเทลลิเจนซ์ที่เหนือจินตนาการ" และสิ่งที่เขาตื่นเต้นที่สุดคือ "AI เพื่อการค้นพบทางวิทยาศาสตร์" (AI for Science) เพราะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์คือรากฐานที่แท้จริงของการยกระดับคุณภาพชีวิตมนุษย์
เขายังเชื่อมโยง AI เข้ากับ "พลังงาน" (Energy) ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาหมกมุ่นมาตลอด "ผมไม่เคยตระหนักว่ามันเกี่ยวข้องกันอย่างชัดเจนขนาดนี้ จนกระทั่งหลังจากเริ่ม OpenAI... ตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่า พลังงานคือตัวจำกัดว่าเราจะสามารถรันความฉลาดได้มากแค่ไหน"
เขาเชื่อมั่นในแนวคิดของความอุดมสมบูรณ์ (Abundance) ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ตรงข้ามกับแนวคิด Degrowth ที่มองว่าโลกสิ้นหวัง "ผมค่อนข้างแน่ใจว่าเราคิดถูกและพวกเขาคิดผิด"
ประเด็นที่ Founder หลายคนกังวลที่สุดคือ "จะสร้างสตาร์ทอัพอย่างไรไม่ให้ถูก OpenAI ขยี้?"
Altman ให้คำแนะนำที่ชัดเจนว่า "เราไม่ได้อยากจะขยี้คุณ เรารู้สึกแย่เมื่อเห็นคนพยายามจะโคลน ChatGPT เพราะเราคิดว่าเราจะทำส่วนนั้นได้ดี... คำแนะนำของเราคือ: อย่าสร้างสิ่งที่แข่งกับแกนหลักของเรา แต่ให้มองหาพื้นที่ว่าง (Whitespace) อื่นๆ"
เขาย้ำว่าบริษัทที่ยิ่งใหญ่ส่วนใหญ่ไม่ได้ตามกระแส ซึ่งนั่นทำให้มีเวลาหา Product-Market Fit และสร้างเทคโนโลยีของตัวเองก่อนที่จะต้องกังวลเรื่องการป้องกันคู่แข่ง (Defensibility) "ในช่วงแรกเราไม่มีอะไรป้องกันได้เลย นอกจากผลิตภัณฑ์ที่ดีเพียงหนึ่งเดียว จากนั้นก็ค่อยๆ มีแบรนด์, มี Memory, มีการเชื่อมต่อต่างๆ"
ในช่วงท้าย Altman ได้ให้คำแนะนำแก่ Founder รุ่นใหม่ที่อยู่ในจุดเดียวกับเขาเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน
"ผมหวังว่าจะมีใครสักคนสอนผมถึงความสำคัญของ 'ความเชื่อมั่นและความทรหด' (Conviction and Resilience) ในระยะยาว จงเรียนรู้ที่จะเชื่อในสัญชาตญาณ ขัดเกลาการตัดสินใจ มีความกล้าที่จะทำงานในสิ่งที่คุณเชื่อ แม้ว่ามันจะไม่ได้อยู่ในกระแส และที่สำคัญคือต้องเดินหน้าต่อไปหลังจากล้มเหลว"
เขาทิ้งท้ายด้วยการเปรียบเทียบการเป็นผู้ประกอบการกับการมีลูกว่า "ส่วนที่ดี มัน 'ดีกว่า' ที่คุณจินตนาการไว้ ส่วนที่ยาก มัน 'ยากกว่า' ที่ใครจะอธิบายได้ แต่คุณต้องไปต่อ"
ฟังบทสัมภาษณ์ของ Sam Altman และ Garry Tan จาก Session: The Future of OpenAI, ChatGPT's Origins, and Building AI Hardware ได้ที่: Youtube.com
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด