ไทยควรโดดเข้าสู่ ‘สงครามเซมิคอนดักเตอร์’ หรือไม่ ? สรุปจากอดีตบิ๊ก TSMC ต่ออุตสาหกรรมชิป และสงครามชิป

บนเวที Techsauce Global Summit 2025 มีเซสชั่นที่พูดคุยถึงเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งนับว่าเป็นมันสมองของยุค AI และเป็นสิ่งที่หลายประเทศต้องการผลิต และพัฒนาไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย

ภายในเซสชั่น 'Semiconductor Tech Advancement: Navigating the Future of Innovation' ที่เพิ่งจบไป Professor Konrad Young อดีตผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนา (R&D Director) จาก TSMC บริษัทผู้ผลิตชิปที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ที่ได้มาอธิบายถึงทางรอดของไทยในอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนโลกยุคใหม่

ตลอด 40 ปีในสายอาชีพของผม ประเทศไทยไม่เคยอยู่ในความคิดของผมเลยเมื่อพูดถึงเรื่องเซมิคอนดักเตอร์

Professor Konrad Young เริ่มต้นบทสนทนาอย่างน่าสนใจ เผยให้เห็นภาพความเป็นจริงว่าในเวทีระดับโลก ประเทศไทยอาจยังไม่ใช่ผู้เล่นที่อยู่ในสายตาของยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมนี้

คำถามต่อมาคือ แล้วในโลกที่เทคโนโลยีชิปคือหัวใจของทุกสิ่ง ตั้งแต่ AI ไปจนถึงรถยนต์ไฟฟ้า ประเทศเล็กๆ อย่างไทยจะหาที่ยืนของตัวเองได้อย่างไร ?

สมรภูมิเซมิคอนดักเตอร์ = เกมของคนรวย และสงครามที่ไม่สิ้นสุด

Professor Konrad Young พยายามชี้ให้เห็นภาพว่า อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ไม่ใช่สนามเด็กเล่น แต่เป็นเกมของคนรวย หรืออาจเรียกว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ต่อต้านประชาธิปไตยมาก เพราะมีเพียงบริษัทขนาดใหญ่ และประเทศมหาอำนาจเท่านั้นที่สามารถทุ่มเงินมหาศาลเพื่อแข่งขัน และเข้าถึงเทคโนโลยีที่ร่ำรวยได้ 

โดยตั้งคำถามว่า โลกจะใช้ประโยชน์จากเซมิคอนดักเตอร์ได้อย่างไรหากคุณไม่ใช่บริษัทขนาดใหญ่ และประเทศขนาดใหญ่ ?

เขาเปรียบเทียบการแข่งขันนี้ว่าเป็นเหมือนกับการแข่งขันสะสมอาวุธ ที่ต้องทุ่มงบประมาณไปกับการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับที่สหรัฐฯ, รัสเซีย และจีน พยายามสร้างทรัพยากรทางทหารมากมาย 

เขายกตัวอย่าง TSMC ที่ทุ่มเทด้านการวิจัย และพัฒนา งบ R&D ไว้ที่ 8% ของรายได้มาตลอดเกือบ 30 ปี เขาระบุว่า รายได้ของ TSMC ในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 90,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐถึง 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

หมายความว่าบริษัทจะใช้เงินประมาณ 7,000-8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการวิจัยและพัฒนาเพียงอย่างเดียว ซึ่งมากกว่างบประมาณ R&D ของทั้งประเทศไต้หวัน (หากไม่นับ TSMC) เสียอีก

นอกจากเงินทุนมหาศาล อุตสาหกรรมนี้ยังมี Learning Curve ที่ยาวนานกว่า 60 ปีนับตั้งแต่มีกฎของมัวร์ (Moore's Law) ทำให้ผู้เล่นหน้าใหม่แทบไม่มีทางไล่ตามได้ทัน เพราะมันมีราคาแพงเกินไป

จาก Globalization สู่ Localization

ความท้าทายที่สำคัญที่สุดในยุคปัจจุบัน คือประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะความขัดแย้งทางเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่กำลังสั่นคลอนระบบซัพพลายเชนระดับโลกที่เคยแข็งแกร่ง 

สหรัฐฯ กำลังพยายามทลายระบบนี้ และบังคับให้ทุกคนย้ายฐานการผลิตไปที่สหรัฐฯ ในแนวทางที่ไม่มีประสิทธิภาพนัก

สถานการณ์นี้บีบให้โลกต้องหันไปสู่ Localization หรือการสร้างฐานการผลิตในระดับภูมิภาคและท้องถิ่นมากขึ้น ซึ่งแม้จะเป็นความท้าทายใหญ่หลวง แต่เขามองว่ามันอาจสร้างโอกาสเล็กๆ ให้กับประเทศที่ไม่เคยอยู่ในสมการนี้มาก่อน เช่น เวียดนามที่พยายามหาโอกาสจากความต้องการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน หรือสาธารณรัฐเช็กที่พยายามเข้าไปอยู่ในซัพพลายเชนของเยอรมนี แต่นี่เป็นโอกาสที่ต้องอาศัยกลยุทธ์ที่แยบยลอย่างยิ่ง 

ทางรอดของไทยและประเทศเล็ก ต้องเริ่มจาก ‘Local Demand’ 


แล้วประเทศอย่างไทยควรทำอย่างไร ? Professor Konrad Young ชี้ว่านี่คือคำถามที่ตอบยากที่สุด แต่คำตอบไม่ใช่การกระโดดเข้าไปสร้างโรงงานผลิตชิปเพื่อแข่งขันกับยักษ์ใหญ่ แต่ต้องเริ่มต้นจากรากฐานที่สำคัญที่สุด นั่นคือ Local Demand หรือความต้องการภายในประเทศ

คุณต้องมีความปรารถนาและความตั้งใจแบบ Top-down หรือจากบนลงล่าง เพื่อสร้างให้ตลาดในประเทศเกิดความต้องการ

เขายกตัวอย่างเวียดนามว่า หากบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอย่าง VinGroup (แบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์) ไม่มีความต้องการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ ก็จะไม่มีทางเกิดอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ขึ้นได้เลย

ดังนั้นกลยุทธ์สำหรับประเทศไทย และประเทศอื่น ๆ ได้แก่

  1. สร้างอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้ชิป > ต้องมีอุตสาหกรรมเป้าหมายที่แข็งแกร่งในประเทศ เช่น ยานยนต์, อุปกรณ์การแพทย์, พลังงานสะอาด เพื่อสร้างความต้องการต่อชิปให้เกิดขึ้นจริง
  2. หาจุดแข็งของตัวเองให้เจอ > แต่ละประเทศต้องตอบคำถามให้ได้ว่า ‘อะไรคือจุดแข็ง ?’ ไม่ว่าจะเป็นจุดแข็งด้านวัฒนธรรม ทรัพยากร หรือทักษะแรงงาน และใช้จุดแข็งนั้นเป็นตัวนำ
  3. ร่วมมือกันในกลุ่มประเทศ > ประเทศที่เหลือต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ International Talent Exchange เพราะการทำงานร่วมกันจะทำให้เกิดสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
  4. เน้นนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน > แทนที่จะไปแข่งพัฒนาชิปให้เร็วให้แรง เราอาจมองหาโอกาสในตลาดเฉพาะทาง เช่น การพัฒนา Green Semiconductor ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ


บทสรุปจาก Professor Konrad Young คือการส่งสัญญาณเตือนว่า การเข้าสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ไม่ใช่เรื่องของความฝัน แต่เป็นเรื่องของกลยุทธ์ที่วางอยู่บนความเป็นจริง สำหรับประเทศไทย การเดินทางสายนี้จะเริ่มต้นได้ก็ต่อเมื่อเราตอบคำถามพื้นฐานที่สุดได้ว่า เราจะสร้างความต้องการจากภายใน และจะใช้จุดแข็งอะไรของเราไปแข่งขันในเวทีโลก ?

อ้างอิง : ข้อมูลจากเซสชั่น Semiconductor Tech Advancement: Navigating the Future of Innovation งาน Techsauce Global Summit 2025

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ถอดบทเรียนมาเลเซีย-เวียดนาม ใช้ Hardware-in-the-Loop (HIL) สร้างนวัตกรรมให้ชาติอย่างไร

โลกวิศวกรรมยุคใหม่ไม่เสี่ยงบนของจริง แต่หันไปใช้ HIL (Hardware-in-the-Loop) หรือสนามซ้อมดิจิทัล เพื่อทดสอบหายนะนับพันครั้งในแล็บที่ปลอดภัย 100% เรากำลังตามหลังเพื่อนบ้านในเกมนี้จริ...

Responsive image

อนาคตเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น ผ่าน 3 ซีอีโออุตสาหกรรมและการเงิน จากฐานการผลิตสู่นวัตกรรมขับเคลื่อนอาเซียน ท่ามกลางสมรภูมิ FDI โลกเดือด

สรุปเวทีเสวนา "Thailand: Shaping ASEAN's Next Frontier" ถอดรหัสอนาคตเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น จากมุมมองผู้นำ อมตะ, ฮอนด้า, และกรุงศรี ชี้ 'ผู้นำ', 'นวัตกรรม', และ 'การพัฒนาคน' คือกุญแจสำ...

Responsive image

ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทยบทใหม่ กับคุณศุภชัย เจียรวนนท์ ชี้ทางรอดไทยยุค 5.0 ต้องปั้น ‘7Ts’ เพื่อฝ่า 3D Digitalization, Deglobalization, Decarbonization

ถอดรหัสวิสัยทัศน์ ‘ศุภชัย เจียรวนนท์’ ซีอีโอ ซีพี กางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทยบทใหม่ (New Economic Frontier) ชี้ 3 วิกฤตโลก (3D) ที่ต้องฝ่า และ 7T โอกาสทองของไทย สู่ยุค 'Sustainable In...