ทุกวันนี้ปฏิเสธไม่ว่าหลังเกิดสถานการณ์ COVID-19 หลายองค์กรทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ต้องปรับตัวเพื่อรับมือกันถ้วนหน้า ซึ่งตลาดทุนไทย หรือ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถือว่าเป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางและฟันเฟืองสำคัญที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้เหล่าบริษัทจดทะเบียนรวมไปถึงนักลงทุนทั้งหลาย ที่ทุกวันนี้ไม่เพียงหาคำตอบแค่ว่าจะสร้างการเติบโตด้วยผลกำไรอย่างไรเท่านั้น แต่จะทำอย่างไรที่จะทำให้ตลาดทุนไทยสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืนและสร้างประสิทธิภาพสูงสุดให้กับผู้มีส่วนร่วมในตลาดทุนได้ ท่ามกลางปัจจัยกดดันที่ยังคงมีเข้ามาอยู่อย่างต่อเนื่อง
ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ปรับตัวสู่วิถีธุรกิจใหม่ (Next Normal) พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้ลงทุน และเป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญของประเทศ ตอบสนองความท้าทายในโลกปัจจุบันที่อยู่บนวิถี VUCA (ความผันผวน (Volatility) ความไม่แน่นอน (Uncertainty) ความซับซ้อน (Complexity) และความคลุมเครือ (Ambiguity)) ดังนั้น กรอบการพัฒนาในอีก 3 ปี(64-65)ข้างหน้านี้ จึงมีเป้าหมายเพื่อสร้างโอกาสการเติบโตของประเทศอย่างมีสมดุลทั้งธุรกิจและสังคม (Balanced Growth) รองรับสภาพแวดล้อมของตลาดทุน เทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ตลาดทุนเป็นประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน ตามวิสัยทัศน์ตลาดหลักทรัพย์ฯ “To make the capital market “Work” for everyone”
1.สร้างการเติบโตในตลาดทุน (Market Growth)
1.1)การเพิ่มหลักทรัพย์ใหม่ (Boost supply-side opportunities) ส่งเสริมการระดมทุนของธุรกิจใหม่ อาทิ เศรษฐกิจกระแสใหม่ (New economy) หลักทรัพย์ต่างประเทศ บริษัทย่อยของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) รวมถึงสตาร์ทอัพ (Startup) ในรูปแบบที่เหมาะสมตามความเสี่ยงและประเภทของผู้ร่วมลงทุน ขณะเดียวกัน สนับสนุนการนำข้อมูลไปใช้เพื่อประโยชน์ในการสร้างนวัตกรรมทางธุรกิจ
1.2)การขยายฐานผู้ลงทุน (Rapid investor expansion) มุ่งเน้นการขยายช่องทางการลงทุนใหม่ๆ ที่สามารถเข้าถึงผู้ลงทุนได้กว้างขึ้นและทำให้การลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ ควบคู่กับการตลาดดิจิทัลเพื่อวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลความรู้ บริการ และผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตอบโจทย์ ให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุนได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ขณะที่จะขยายความน่าสนใจของตลาดทุนไทยไปยังกลุ่มผู้ลงทุนต่างประเทศผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น รวมถึงการนำเสนอธีมผลิตภัณฑ์และบริการ (Thematic products and services) เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุนสถาบัน
2.ขยายโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Expansion)
2.1)การสร้างการมีส่วนร่วม (Building engagement) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับบริษัทจดทะเบียน และผู้ประกอบการในตลาดทุน ส่งเสริมรายงานด้าน ESG รวมทั้งปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรค เพื่อเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม
2.2)การต่อยอดธุรกิจใหม่ (Venturing new frontiers) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสำหรับตลาดทุนไทย เพิ่มผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงตลาดทุนโลก และให้บริการแพลตฟอร์มสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและสร้างรายได้ใหม่ให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันเป็นทางเลือกใหม่ในการลงทุนของผู้ลงทุน
3.ขับเคลื่อนสังคมและสิ่งแวดล้อม (Environmental Solutions & Social Development)
3.1)การปลูกฝังการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG cultivation) ส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนนำหลักการ ESG มาบูรณาการในกระบวนการดำเนินงานตามลักษณะการประกอบธุรกิจ เพื่อคงความเป็นผู้นำในภูมิภาคในด้าน ESG พร้อมส่งเสริมให้เกิดการลงทุนอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกัน ยังสร้างความตระหนักในเรื่องสิ่งแวดล้อมเพื่อต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ผ่านโครงการ Care the Bear Care the Whale และ Care the Wild โดยทำงานร่วมกับองค์กรในตลาดทุนและพันธมิตร
3.2)การเสริมสร้างพลังทางสังคม (Social empowerment) มีเป้าหมายเป็นศูนย์กลางด้านความรู้ทางการเงินของประเทศ โดยพัฒนาทักษะพื้นฐานการบริหารจัดการทางการเงินในชีวิตประจำวันให้กับประชาชน นอกจากนี้ มีแผนพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับงานวิจัยด้านตลาดทุน พัฒนาศักยภาพและขยายโอกาสสำหรับธุรกิจเพื่อสังคมผ่าน Social digital platform
4.เพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจและศักยภาพบุคลากร (Continuous Improvement & Talent Empowerment)
4.1)ความสามารถในการขยายตัวด้านธุรกิจ (Business scalability) ยกระดับระบบซื้อขายหลักทรัพย์ และความปลอดภัยทางไซเบอร์โดยยึดหลักมาตรฐานสากล และสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พร้อมทำงานร่วมกับพันธมิตรในการสร้างสรรค์บริการอย่างครบวงจรเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจและผู้ลงทุน
4.2)ความเป็นเลิศด้านการดำเนินงาน (Operational excellence) ใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดขั้นตอนกระบวนการทำงาน โดยศึกษาการนำ Robotic Process Automation (RPA) มาใช้ ให้ความสำคัญด้านการบริหารจัดการความเสี่ยงและการสื่อสารในช่วงวิกฤต รวมทั้งพัฒนาศักยภาพของพนักงาน และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงานในวิถีชีวิตปกติใหม่
สำหรับความท้าทายของตลาดทุนไทยในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้คงจะหนีไม่พ้นภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนหลายแห่งมีความสามารถในการทำกำไรลดลง รวมถึงปัจจุบันภาวะการแข่งขันของตลาดทุนค่อนข้างรุนแรง ซึ่งการสร้างตลาดBlue Ocean ถือว่าเป็นอะไรที่ท้าทายค่อนข้างมาก นอกจากนี้ยังมีเรื่อง การวิเคราะห์ข้อมูลและการกำกับดูแล(data analtics&governance) ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่จะช่วยให้ตลาดทุนไทยมีความสามารถเทียบเท่ากับตลาดทุนอื่นๆในภูมิภาคได้
" ไม่ว่าเราจะทำธุรกิจอะไรแต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มองว่าเป็น Next Nomal การปรับตัวแม้จะไม่เหมือนเดิมแต่อย่างน้อยจะต้องดีขึ้น และผลงานที่ออกมาก็จะดีตามไปด้วย ซึ่งในอนาคตผมจะไม่หยุดพัฒนาเราต้องทำงานร่วมกันแบบ ecosystem เพื่อทำให้ตลาดทุนไทยแข็งแกร่งและสามารถแข่งขันกับตลาดทุนโลกได้ "
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด