เปิดงาน ‘SICW 2025’ สิงคโปร์ปฏิวัติยุทธศาสตร์ไซเบอร์ จากผู้คุมกฎสู่พันธมิตรภาคเอกชนเต็มตัว ชี้ความร่วมมือคือทางรอดเดียวของยุคนี้!

David Koh

Singapore International Cyber Week หรือ SICW งานประชุมด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ระดับโลก กลับมาอีกครั้ง และครั้งนี้เป็นการฉลองครบรอบ 10 ปี ในช่วงเวลาที่โลกกำลังยืนอยู่บนหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ ทั้งจากการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มข้น, การเปลี่ยนแปลงระบบการกำกับดูแลระดับโลก และขนาดของภัยคุกคามไซเบอร์ที่เติบโตอย่างน่ากังวล

SICW 2025 ปักธงเป็นเวทีหลักในการหาคำตอบภายใต้ธีม 'Shaping the Next Era of Global Cybersecurity' หรือ 'การกำหนดทิศทางยุคใหม่ของความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ระดับโลก' เป้าหมายของ SICW 2025 คือการสำรวจว่าการพัฒนาด้านไซเบอร์จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงระหว่างประเทศและเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างไรในอนาคต 

ในพิธีเปิดงาน Singapore International Cyber Week (SICW) ประจำปี 2025 อย่างเป็นทางการ David Koh, Commissioner of Cybersecurity & Chief Executive (CE), Cyber Security Agency of Singapore (CSA) และ Chief (Digital Security & Technology), Chief Quantum Advisor, Ministry of Digital Development and Information Singapore ได้ขึ้นกล่าวเปิดงานในฐานะเจ้าภาพ โดยได้สะท้อนภาพความสำคัญของโลกไซเบอร์ที่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงวิสัยทัศน์และแนวทางของสิงคโปร์ในการรับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยชูความร่วมมือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างอนาคตที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ

โลกไซเบอร์ จากเรื่องเฉพาะกลุ่มสู่สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของทุกคน

David Koh เริ่มต้นด้วยการต้อนรับผู้เข้าร่วมงานกว่า 13,000 คนจากทั่วโลก ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลของประเด็นความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เขาได้เปรียบเทียบโลกไซเบอร์ว่าเป็น "สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ" ที่เราใช้ในการใช้ชีวิต, ทำงาน และพักผ่อน "หากเราเป็นปลา โลกไซเบอร์ก็คือน้ำที่เราแหวกว่ายอยู่" เขากล่าว ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยที่ทรงพลังเพื่อชี้ให้เห็นว่าโลกไซเบอร์ได้หลอมรวมเข้ากับทุกมิติของชีวิตอย่างแยกไม่ออก

จากมุมมองนี้ ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์หรือ Cyber Security จึงไม่ใช่เรื่องเฉพาะกลุ่มของฝ่ายเทคนิคอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญต่อความปลอดภัย, การค้า และคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกไซเบอร์ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ภาครัฐหรือภาคธุรกิจ แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อ ความปลอดภัยและความไว้วางใจของประชาชน ทุกคนในทุกที่

การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ ความท้าทายที่มาพร้อมเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดด

ในโอกาสที่ SICW และ CSA เฉลิมฉลองวาระครบรอบ 10 ปี ซึ่งเป็น "หมุดหมายสำคัญร่วมกัน" David Koh ได้กล่าวถึงธีมงานในปีนี้คือ ‘การกำหนดทิศทางยุคใหม่ของความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ระดับโลก (Shaping the Next Era of Global Cybersecurity)’ ซึ่งสะท้อนถึงภารกิจเร่งด่วนที่รออยู่ข้างหน้า ท่ามกลางความท้าทายที่ระเบียบระหว่างประเทศที่ตั้งอยู่บนกฎเกณฑ์กำลังถูกสั่นคลอน และเทคโนโลยีอย่าง ปัญญาประดิษฐ์ (AI), ควอนตัม (Quantum) และคลาวด์ (Cloud) ที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนน่าทึ่ง

"ทุกย่างก้าวของเทคโนโลยีที่ก้าวไปข้างหน้า มาพร้อมกับช่องโหว่และภัยคุกคามใหม่ๆ" ภัยคุกคามและการโจมตีทางไซเบอร์ในปัจจุบันมีลักษณะที่เป็นระบบและไร้ความปรานีมากขึ้น โดยมุ่งเป้าไปที่ระบบต่างๆ ที่สังคมของเราต้องพึ่งพา นี่คือความท้าทายร่วมกันที่ทำให้เราต้องร่วมกันกำหนดทิศทางของยุคต่อไปอย่างรอบคอบ มีวิสัยทัศน์ และมีความมุ่งมั่นร่วมกัน

หัวใจสำคัญคือ 'ความร่วมมือ' กีฬาที่ต้องเล่นเป็นทีมและไม่มีผู้ชม

David Goh เน้นย้ำว่า ความสำเร็จในการยกระดับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดขึ้นได้โดยลำพัง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือ (Partnerships) เป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งรวมถึง

  • ความร่วมมือระหว่างรัฐบาล การทำงานร่วมกันข้ามพรมแดน
  • ความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน การทำงานอย่างใกล้ชิดกับภาคอุตสาหกรรม ทั้งในประเทศกับเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศสำคัญ และในระดับสากลกับบริษัทเทคโนโลยีและผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน

เขาได้ย้ำแนวคิดที่พูดอยู่เสมอว่า ‘ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เป็นกีฬาที่ต้องเล่นเป็นทีม’ ซึ่งเป็นทีมระดับโลกที่ผู้เล่นทุกคนมีบทบาท และในเกมนี้ไม่มีผู้ชมไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล, ภาคอุตสาหกรรม, องค์กรระหว่างประเทศ หรือแม้แต่บุคคลทั่วไป ทุกคนคือผู้เล่นในสนามที่ต้องร่วมกันรักษาแนวป้องกัน นอกจากนี้ David Goh ยังได้เปลี่ยนมุมมองต่อความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ โดยชี้ว่ามันไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการป้องกันเชิงรับ แต่ยังเป็น ‘ตัวเปิดทาง’ (Enabler) ที่สร้างความไว้วางใจ, การเติบโต และนวัตกรรม 

"มันมอบความมั่นใจให้เรากล้าที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และสร้างความยืดหยุ่น (Resilience) เพื่อรับมือและฟื้นตัวเมื่อเกิดการโจมตีขึ้นในที่สุด"

วิสัยทัศน์สำหรับ SICW 2025 เวทีแห่งความร่วมมือระดับโลก

David Goh กล่าวว่า SICW ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเวทีที่นำภาครัฐ, ภาคอุตสาหกรรม, สถาบันการศึกษา และภาคประชาสังคมมารวมตัวกัน ไม่ใช่แค่เพื่อเผชิญหน้ากับภัยคุกคามในปัจจุบัน แต่เพื่อคาดการณ์ถึงอนาคตของโลกดิจิทัล ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา SICW ได้กลายเป็นเวทีที่ประเทศต่างๆ สามารถเข้ามามีส่วนร่วมแม้จะมีความแตกต่าง, เป็นพื้นที่ที่ภาคอุตสาหกรรมและองค์กรระหว่างประเทศได้แลกเปลี่ยนมุมมอง และเป็นที่ที่ความร่วมมือต่างๆ ถูกสร้างขึ้นเพื่อรักษาโลกไซเบอร์ให้เปิดกว้าง, ปลอดภัย และน่าเชื่อถือ

ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เป็นความท้าทายร่วมกัน ที่ไม่มีประเทศใดหรือองค์กรใดสามารถแก้ไขได้โดยลำพัง ไม่มีใครเป็นเพียงผู้ยืนดูในโลกไซเบอร์ เราทุกคนคือส่วนหนึ่งของความพยายามในทีมนี้

K Shanmugam

K Shanmugam ชี้ภัยไซเบอร์รุนแรงขึ้น ประกาศยุทธศาสตร์ใหม่ เปลี่ยนจาก ‘ผู้คุมกฎ’ สู่ ‘พันธมิตร’ กับภาคเอกชน

K. Shanmugam, Coordinating Minister for National Security and Minister for Home Affairs Singapore ได้ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษในฐานะแขกผู้มีเกียรติ โดยได้พูดถึงภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ทวีความรุนแรงและซับซ้อนขึ้นทั่วโลก พร้อมทั้งประกาศการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญของสิงคโปร์ในการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของชาติ โดยเปลี่ยนบทบาทของรัฐบาลจากเพียง "ผู้กำกับดูแล ไปสู่การเป็นพันธมิตร ที่ทำงานอย่างใกล้ชิดกับภาคเอกชน"

ภูมิทัศน์ภัยคุกคามที่น่ากังวล เมื่อภัยไซเบอร์ไม่ใช่เรื่องไกลตัว

K. Shanmugam เริ่มต้นด้วยการชี้ให้เห็นว่า กิจกรรมทางไซเบอร์ที่เป็นอันตรายกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทั่วโลก โดยมีผู้กระทำผิดหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ (State-sponsored actors) ไปจนถึงอาชญากรไซเบอร์และนักเคลื่อนไหว เขายกตัวอย่างเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นจริงเพื่อตอกย้ำว่าภัยคุกคามเหล่านี้ส่งผลกระทบในวงกว้าง

  • การโจมตีโดยรัฐ ผู้กระทำที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐได้ทวีความรุนแรงในการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญเพื่อสร้างความไร้เสถียรภาพ
  • การโจมตีข้อมูลส่วนบุคคล กรณีการโจมตี SK Telecom ในเกาหลีใต้ ทำให้ข้อมูลซิมการ์ดเกือบ 27 ล้านรายรั่วไหล
  • การโจมตีภาคอุตสาหกรรม การโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ต่อ Jaguar Land Rover ทำให้โรงงานทั่วโลกต้องหยุดชะงักและสร้างความเสียหายหลายพันล้านดอลลาร์ และการโจมตีกลุ่มบริษัทเบียร์ Asahi ที่เกือบทำให้เกิดภาวะขาดแคลนเบียร์ทั่วโลก "ผมไม่แน่ใจว่าระหว่าง Land Rover กับเบียร์ อะไรจะส่งผลกระทบมากกว่ากันเมื่อคุณสูญเสียมันไป" นายชันมุกัมกล่าวติดตลก แต่สะท้อนให้เห็นว่าภัยคุกคามไซเบอร์กระทบต่อชีวิตประจำวันในทุกมิติ

สำหรับสิงคโปร์เอง K. Shanmugam ยอมรับว่าประเทศตกเป็นเป้าหมายที่น่าดึงดูดเนื่องจากสถานะทางภูมิรัฐศาสตร์และการเชื่อมต่อทางดิจิทัลที่สูง โดยตรวจพบการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญโดยกลุ่ม UNC 3886 และยังพบความพยายามของต่างชาติในการใช้โลกไซเบอร์เพื่อแทรกแซงการเมืองภายในประเทศ โดยเฉพาะช่วงการเลือกตั้งทั่วไป

ยุทธศาสตร์ 3 เสาหลักของสิงคโปร์

จากสถานการณ์ดังกล่าว K. Shanmugam ได้เปิดเผยยุทธศาสตร์ 3 เสาหลักของสิงคโปร์ในการรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์

เสาหลักที่ 1: การดำเนินการเชิงรุกและไม่ประนีประนอม 

สิงคโปร์จะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดกับผู้กระทำผิด ไม่ว่าจะโจมตีเป้าหมายในประเทศ หรือใช้สิงคโปร์เป็นฐานในการโจมตีประเทศอื่น เขาได้เปิดเผยกรณีการจับกุมชาวต่างชาติ 6 คนที่ต้องสงสัยว่ามีส่วนร่วมในการแฮกเว็บไซต์ในต่างประเทศเพื่อขโมยข้อมูลไปขาย และยังมุ่งเป้าไปที่ข้อมูลของรัฐบาลต่างชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้บล็อกเว็บไซต์ปลอม 10 แห่งที่สร้างโดยต่างชาติเพื่อแอบอ้างเป็นเว็บไซต์ท้องถิ่น ซึ่งอาจถูกใช้ในปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารที่เป็นปฏิปักษ์

เสาหลักที่ 2: การปฏิวัติความร่วมมือจาก ‘ผู้คุมกฎ’ สู่ ‘พันธมิตร’ ที่แข็งแกร่ง 

K. Shanmugam  ชี้ว่าโครงสร้างพื้นฐานสำคัญส่วนใหญ่เป็นของภาคเอกชน ซึ่งไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ แต่กลับต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามระดับสูง ดังนั้น กฎระเบียบเพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ รัฐบาลจำเป็นต้องเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นเพียงผู้กำกับดูแล มาเป็นการเป็น ‘พันธมิตร’ ที่ทำงานอย่างใกล้ชิด โดยจะดำเนินการดังนี้

  • การแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองที่เป็นความลับ รัฐบาลจะแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองด้านภัยคุกคามระดับสูงกับเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เพื่อให้พวกเขาสามารถเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามเฉพาะเจาะจงได้
  • การร่วมมือฝึกซ้อมเชิงปฏิบัติการ รัฐบาลจะร่วมมือกับภาคเอกชนในการทำ Threat Hunting (การไล่ล่าภัยคุกคาม) และ Red Teaming (การจำลองการโจมตี) โดยใช้ข้อมูลข่าวกรองที่เป็นความลับ เพื่อทดสอบและเสริมความแข็งแกร่งของระบบป้องกัน

"นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับแนวทางของรัฐบาลสิงคโปร์ เราจำเป็นต้องยกระดับสนามแข่งขันระหว่างผู้โจมตีและผู้ป้องกัน เพื่อช่วยพลิกสถานการณ์ให้ได้" K. Shanmugam เน้นย้ำ

เสาหลักที่ 3 การสร้างความไว้วางใจและระเบียบโลกไซเบอร์ 

สิงคโปร์ยังคงยึดมั่นในระเบียบระหว่างประเทศที่ตั้งอยู่บนกฎเกณฑ์ และเชื่อว่าความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยง ‘การแข่งขันทางอาวุธไซเบอร์’ (Cyber Arms Race) ซึ่งจะนำไปสู่สถานการณ์ที่เลวร้ายสำหรับทุกคน เขาชี้ว่าความไว้วางใจเป็นพื้นฐานของการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองและการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในยามวิกฤต

เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ สิงคโปร์จะเดินหน้าโครงการ UN-Singapore Cyber Programme (UNSCP) ต่อไปอีก 3 ปี เพื่อฝึกอบรมและสร้างขีดความสามารถให้กับเจ้าหน้าที่ด้านไซเบอร์จากประเทศสมาชิกสหประชาชาติ ซึ่งจะช่วยยกระดับความสามารถในการป้องกันภัยคุกคามในระดับโลก

 K. Shanmugam ปิดท้ายด้วยการแสดงความหวังว่า SICW จะเป็นเวทีสำคัญในการสร้างบทสนทนาที่จริงจังและนำไปสู่ความร่วมมือที่ลึกซึ้งและยั่งยืนยิ่งขึ้น เพื่อสร้างโลกไซเบอร์ที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน


Izumi Nakamitsu

UN ชี้อนาคตไซเบอร์โลกต้องขับเคลื่อนด้วยความร่วมมือพหุภาคีและการจัดการ AI อย่างรับผิดชอบ

Izumi Nakamitsu รองเลขาธิการและผู้แทนระดับสูงด้านการลดอาวุธแห่งสหประชาชาติ (United Nations Under-Secretary-General and High Representative for Disarmament Affairs) ได้ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษ โดยชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างความร่วมมือระดับโลกเพื่อกำหนดทิศทางอนาคตของความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงบทบาทของสหประชาชาติ, ผลกระทบของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และความสำคัญของการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน

Izumi Nakamitsu เริ่มต้นด้วยการชื่นชมบทบาทผู้นำของสิงคโปร์ในเวทีโลก โดยกล่าวว่า "ความเป็นผู้นำด้านการทูตไซเบอร์อย่างต่อเนื่องตลอด 10 ปีไม่ใช่เรื่องเล็ก" พร้อมทั้งยกย่องการเติบโตของ SICW จนกลายเป็นเวทีสำคัญระดับโลก และขอบคุณสำหรับความร่วมมือที่แข็งแกร่งผ่านโครงการ UN-Singapore Cyber Programme ซึ่งจะขยายเวลาต่อไปอีก 3 ปี

เธอกล่าวว่า การกำหนดอนาคตของโลกไซเบอร์ให้เป็นพื้นที่ที่สงบสุข, ปลอดภัย, ครอบคลุม และเจริญรุ่งเรืองนั้น เป็นความพยายามร่วมกัน (Collective Endeavor) ที่ทุกคน ตั้งแต่รัฐบาลไปจนถึงประชาชนทั่วไป ต้องมีบทบาทร่วมกัน จากนั้นได้นำเสนอ 3 แนวคิดที่สำคัญในการก้าวสู่ยุคใหม่ของความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์

บทบาทของสหประชาชาติในการสร้างระเบียบโลกไซเบอร์

ในวาระครบรอบ 80 ปีของสหประชาชาติ องค์กรกำลังปรับตัวภายใต้โครงการริเริ่ม UN80 เพื่อให้มีความคล่องตัวและพร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ซึ่งรวมถึงความมั่นคงทาง ICT ด้วย การมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องของรัฐสมาชิกในเวที UN ได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างความแตกต่างได้จริง โดยมีความสำเร็จที่สำคัญคือ

  • อนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ (Convention against Cyber Crime) ซึ่งที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้รับรองเมื่อเดือนธันวาคม 2024 และกำลังจะมีพิธีลงนามที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม
  • ความสำเร็จของคณะทำงานเปิดของ UN (Open-ended Working Group - OEWG) ซึ่งได้ข้อสรุปที่เป็นฉันทามติในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หลังจากทำงานอย่างทุ่มเทมา 4 ปี โดยมีผลลัพธ์ที่จับต้องได้ เช่น มาตรการสร้างความไว้วางใจระดับโลก 8 ประการ, ความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับภูมิทัศน์ภัยคุกคาม และโครงการริเริ่มสร้างขีดความสามารถมากมาย
  • การจัดตั้งกลไกระดับโลกด้านความมั่นคงทาง ICT (Global Mechanism on ICT Security) ซึ่งจะเริ่มดำเนินการอย่างเป็นทางการในปี 2026 กลไกถาวรนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับความพยายามของรัฐต่างๆ ในการเดินหน้าต่อไปผ่านการประชุมใหญ่ประจำปีและคณะทำงานเฉพาะเรื่อง

"เราทราบดีว่าภัยคุกคามในโลกไซเบอร์จะไม่ลดน้อยลง ดังนั้น ความมุ่งมั่นของเราในการมีส่วนร่วมก็ต้องไม่ลดลงเช่นกัน" Izumi Nakamitsu กล่าว

AI ดาบสองคมแห่งโลกอนาคต

Izumi Nakamitsu ชี้ว่าปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เป็นเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบอย่างมหาศาล และมีลักษณะเป็นเทคโนโลยีสองคม (Dual-use Technology) ที่มาพร้อมกับความเสี่ยงและโอกาสอย่างชัดเจน

ความเสี่ยงจาก AI

  • การสร้างภัยคุกคามใหม่ AI สามารถสร้างเวกเตอร์การโจมตีใหม่ๆ, เพิ่มความเร็ว, ขนาด และความซับซ้อนของภัยคุกคามได้อย่างมหาศาล
  • การสร้างเครื่องมือโจมตี สามารถสร้างโค้ดที่เป็นอันตราย, ค้นหาช่องโหว่ระดับระบบ และใช้ในการเผยแพร่ข้อมูลเท็จและบิดเบือน (Mis- and Disinformation)
  • การทำลายความปลอดภัย มีศักยภาพในการทำลายวิธีการเข้ารหัสในปัจจุบัน ซึ่งเป็นรากฐานของความปลอดภัยในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ
  • การโจมตีตัวโมเดล AI ผู้โจมตีสามารถแทรกแซงโมเดล AI เพื่อเข้าถึงซอร์สโค้ด หรือทำการ Data Poisoning (การป้อนข้อมูลที่เป็นพิษหรือบิดเบือนเข้าไปในชุดข้อมูลฝึกฝน)

โอกาสจาก AI

  • การป้องกันเชิงรุก รัฐและเอกชนกำลังใช้ AI เพื่อตรวจจับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น และสนับสนุนการตอบสนองต่อเหตุการณ์ละเมิดความปลอดภัย (Incident Response)
  • การวิเคราะห์และตรวจจับ ระบบที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถตรวจจับและบล็อกกิจกรรมที่เป็นอันตราย เช่น ฟิชชิ่งและมัลแวร์ได้โดยอัตโนมัติ และวิเคราะห์รูปแบบที่ผิดปกติในเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว
  • การเสริมสร้างความยืดหยุ่น AI จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางไซเบอร์ (Cyber Resilience)

ดังนั้น การจะก้าวสู่ยุคใหม่ของความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ จำเป็นต้องพิจารณาบทบาทของ AI อย่างรอบคอบ ทั้งในมุมของผู้โจมตีและผู้ป้องกัน

การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนคือหัวใจสำคัญ

บทบาทของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ไม่ใช่ภาครัฐนั้นไม่อาจประเมินค่าต่ำเกินไปได้ เมื่อเป็นเรื่องของความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เราทุกคนมีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งทำให้เราทุกคนเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทางใดทางหนึ่ง

ธรรมชาติของเทคโนโลยี ICT ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานที่ถูกครอบครองและดำเนินการโดยหลายฝ่ายข้ามพรมแดน ทำให้ความร่วมมือจากหลายภาคส่วนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยทุกภาคส่วนมีบทบาทที่แตกต่างกันไป

  • รัฐและเอกชน ปฏิบัติการและป้องกันโครงสร้างพื้นฐาน
  • ผู้เชี่ยวชาญ ให้คำแนะนำเชิงปฏิบัติเกี่ยวกับการบังคับใช้บรรทัดฐานและกฎหมายระหว่างประเทศ
  • ทุกภาคส่วน มีส่วนร่วมในการสร้างขีดความสามารถ และรวบรวมแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองด้านภัยคุกคาม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของเทคโนโลยีเกิดใหม่ การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนนวัตกรรมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้โดยสิ้นเชิง แม้ว่ากระบวนการที่มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายฝ่ายจะมีความซับซ้อน แต่ก็สร้างโอกาสที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน

Izumi Nakamitsu ปิดท้ายด้วยการยืนยันว่า สหประชาชาติพร้อมที่จะเป็นพันธมิตรที่มุ่งมั่น และตั้งตารอที่จะร่วมมือกับทุกฝ่ายในการกำหนดอนาคตของความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ทั้งในงาน SICW และในวันข้างหน้า

การกล่าวเปิดงาน SICW 2025 จากทั้ง 3 ผู้กำหนดนโยบายหลัก ทั้งจากสิงคโปร์และสหประชาชาติ สะท้อนภาพตรงกันว่า ในยุคใหม่ของความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่กำลังจะมาถึง ไม่มีใครสามารถต่อสู้เพียงลำพังได้อีกต่อไป และ ความร่วมมือ คือเสาหลักเดียวที่จะค้ำจุนโลกดิจิทัลไว้ได้

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ทำไมองค์กรทุ่มงบให้ AI แต่ยังไม่เห็นผลจริง ? เปิดมุมมองกับ ABeam Consulting ผู้คลุกคลีกับ Data & AI ขององค์กรไทย

ทำไมทุ่มงบ AI แต่ไม่เห็นผล? เจาะลึกมุมมองจาก ABeam Consulting ถึงสาเหตุที่แท้จริง ตั้งแต่ปัญหาข้อมูลใช้ไม่ได้ จนถึงวัฒนธรรมองค์กร พร้อมแนวทางปรับตัวให้ AI ใช้งานได้จริงในปี 2025...

Responsive image

ส่องเทรนด์ AI ปี 2026 เมื่อเทคโนโลยีเป็น 'คู่คิด' แต่ความเร็วอาจเป็น 'กับดัก'

ปี 2025 AI ได้กลายเป็นเครื่องมือของคนทำงานไปแล้ว และในปี 2026 กำลังจะเป็นอีกก้าวสำคัญ เพราะ AI จะไม่ได้แค่ช่วยให้ทำงานเร็วขึ้น แต่จะเริ่มเข้ามามีบทบาทในการตัดสินใจมากขึ้นเรื่อย ๆ...

Responsive image

Nvidia ทุ่ม 2 หมื่นล้านดอลลาร์เข้าซื้อเทคและทีม Groq สตาร์ทอัพชิป LPU หวังตัดคู่แข่งและเดินเกมคุมโครงสร้างพื้นฐานโลก AI

Nvidia เดินหมากใหญ่ด้วยดีลมูลค่า 20,000 ล้านดอลลาร์ กับ Groq สตาร์ทอัพชิป LPU โดยไม่ซื้อกิจการ แต่เลือกถือสิทธิเทคโนโลยีและดึงทีมแกนหลักเข้าร่วมทัพ เพื่อเร่งครองเกม AI Inference แล...