
Singapore International Cyber Week หรือ SICW งานประชุมด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ระดับโลก กลับมาอีกครั้ง และครั้งนี้เป็นการฉลองครบรอบ 10 ปี ในช่วงเวลาที่โลกกำลังยืนอยู่บนหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ ทั้งจากการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มข้น, การเปลี่ยนแปลงระบบการกำกับดูแลระดับโลก และขนาดของภัยคุกคามไซเบอร์ที่เติบโตอย่างน่ากังวล
SICW 2025 ปักธงเป็นเวทีหลักในการหาคำตอบภายใต้ธีม 'Shaping the Next Era of Global Cybersecurity' หรือ 'การกำหนดทิศทางยุคใหม่ของความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ระดับโลก' เป้าหมายของ SICW 2025 คือการสำรวจว่าการพัฒนาด้านไซเบอร์จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงระหว่างประเทศและเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างไรในอนาคต
ในพิธีเปิดงาน Singapore International Cyber Week (SICW) ประจำปี 2025 อย่างเป็นทางการ David Koh, Commissioner of Cybersecurity & Chief Executive (CE), Cyber Security Agency of Singapore (CSA) และ Chief (Digital Security & Technology), Chief Quantum Advisor, Ministry of Digital Development and Information Singapore ได้ขึ้นกล่าวเปิดงานในฐานะเจ้าภาพ โดยได้สะท้อนภาพความสำคัญของโลกไซเบอร์ที่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงวิสัยทัศน์และแนวทางของสิงคโปร์ในการรับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยชูความร่วมมือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างอนาคตที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ
David Koh เริ่มต้นด้วยการต้อนรับผู้เข้าร่วมงานกว่า 13,000 คนจากทั่วโลก ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลของประเด็นความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เขาได้เปรียบเทียบโลกไซเบอร์ว่าเป็น "สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ" ที่เราใช้ในการใช้ชีวิต, ทำงาน และพักผ่อน "หากเราเป็นปลา โลกไซเบอร์ก็คือน้ำที่เราแหวกว่ายอยู่" เขากล่าว ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยที่ทรงพลังเพื่อชี้ให้เห็นว่าโลกไซเบอร์ได้หลอมรวมเข้ากับทุกมิติของชีวิตอย่างแยกไม่ออก
จากมุมมองนี้ ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์หรือ Cyber Security จึงไม่ใช่เรื่องเฉพาะกลุ่มของฝ่ายเทคนิคอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญต่อความปลอดภัย, การค้า และคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกไซเบอร์ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ภาครัฐหรือภาคธุรกิจ แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อ ความปลอดภัยและความไว้วางใจของประชาชน ทุกคนในทุกที่
ในโอกาสที่ SICW และ CSA เฉลิมฉลองวาระครบรอบ 10 ปี ซึ่งเป็น "หมุดหมายสำคัญร่วมกัน" David Koh ได้กล่าวถึงธีมงานในปีนี้คือ ‘การกำหนดทิศทางยุคใหม่ของความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ระดับโลก (Shaping the Next Era of Global Cybersecurity)’ ซึ่งสะท้อนถึงภารกิจเร่งด่วนที่รออยู่ข้างหน้า ท่ามกลางความท้าทายที่ระเบียบระหว่างประเทศที่ตั้งอยู่บนกฎเกณฑ์กำลังถูกสั่นคลอน และเทคโนโลยีอย่าง ปัญญาประดิษฐ์ (AI), ควอนตัม (Quantum) และคลาวด์ (Cloud) ที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนน่าทึ่ง
"ทุกย่างก้าวของเทคโนโลยีที่ก้าวไปข้างหน้า มาพร้อมกับช่องโหว่และภัยคุกคามใหม่ๆ" ภัยคุกคามและการโจมตีทางไซเบอร์ในปัจจุบันมีลักษณะที่เป็นระบบและไร้ความปรานีมากขึ้น โดยมุ่งเป้าไปที่ระบบต่างๆ ที่สังคมของเราต้องพึ่งพา นี่คือความท้าทายร่วมกันที่ทำให้เราต้องร่วมกันกำหนดทิศทางของยุคต่อไปอย่างรอบคอบ มีวิสัยทัศน์ และมีความมุ่งมั่นร่วมกัน
David Goh เน้นย้ำว่า ความสำเร็จในการยกระดับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดขึ้นได้โดยลำพัง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือ (Partnerships) เป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งรวมถึง
เขาได้ย้ำแนวคิดที่พูดอยู่เสมอว่า ‘ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เป็นกีฬาที่ต้องเล่นเป็นทีม’ ซึ่งเป็นทีมระดับโลกที่ผู้เล่นทุกคนมีบทบาท และในเกมนี้ไม่มีผู้ชมไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล, ภาคอุตสาหกรรม, องค์กรระหว่างประเทศ หรือแม้แต่บุคคลทั่วไป ทุกคนคือผู้เล่นในสนามที่ต้องร่วมกันรักษาแนวป้องกัน นอกจากนี้ David Goh ยังได้เปลี่ยนมุมมองต่อความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ โดยชี้ว่ามันไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการป้องกันเชิงรับ แต่ยังเป็น ‘ตัวเปิดทาง’ (Enabler) ที่สร้างความไว้วางใจ, การเติบโต และนวัตกรรม
"มันมอบความมั่นใจให้เรากล้าที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และสร้างความยืดหยุ่น (Resilience) เพื่อรับมือและฟื้นตัวเมื่อเกิดการโจมตีขึ้นในที่สุด"
David Goh กล่าวว่า SICW ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเวทีที่นำภาครัฐ, ภาคอุตสาหกรรม, สถาบันการศึกษา และภาคประชาสังคมมารวมตัวกัน ไม่ใช่แค่เพื่อเผชิญหน้ากับภัยคุกคามในปัจจุบัน แต่เพื่อคาดการณ์ถึงอนาคตของโลกดิจิทัล ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา SICW ได้กลายเป็นเวทีที่ประเทศต่างๆ สามารถเข้ามามีส่วนร่วมแม้จะมีความแตกต่าง, เป็นพื้นที่ที่ภาคอุตสาหกรรมและองค์กรระหว่างประเทศได้แลกเปลี่ยนมุมมอง และเป็นที่ที่ความร่วมมือต่างๆ ถูกสร้างขึ้นเพื่อรักษาโลกไซเบอร์ให้เปิดกว้าง, ปลอดภัย และน่าเชื่อถือ
ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เป็นความท้าทายร่วมกัน ที่ไม่มีประเทศใดหรือองค์กรใดสามารถแก้ไขได้โดยลำพัง ไม่มีใครเป็นเพียงผู้ยืนดูในโลกไซเบอร์ เราทุกคนคือส่วนหนึ่งของความพยายามในทีมนี้

K. Shanmugam, Coordinating Minister for National Security and Minister for Home Affairs Singapore ได้ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษในฐานะแขกผู้มีเกียรติ โดยได้พูดถึงภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ทวีความรุนแรงและซับซ้อนขึ้นทั่วโลก พร้อมทั้งประกาศการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญของสิงคโปร์ในการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของชาติ โดยเปลี่ยนบทบาทของรัฐบาลจากเพียง "ผู้กำกับดูแล ไปสู่การเป็นพันธมิตร ที่ทำงานอย่างใกล้ชิดกับภาคเอกชน"
K. Shanmugam เริ่มต้นด้วยการชี้ให้เห็นว่า กิจกรรมทางไซเบอร์ที่เป็นอันตรายกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทั่วโลก โดยมีผู้กระทำผิดหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ (State-sponsored actors) ไปจนถึงอาชญากรไซเบอร์และนักเคลื่อนไหว เขายกตัวอย่างเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นจริงเพื่อตอกย้ำว่าภัยคุกคามเหล่านี้ส่งผลกระทบในวงกว้าง
สำหรับสิงคโปร์เอง K. Shanmugam ยอมรับว่าประเทศตกเป็นเป้าหมายที่น่าดึงดูดเนื่องจากสถานะทางภูมิรัฐศาสตร์และการเชื่อมต่อทางดิจิทัลที่สูง โดยตรวจพบการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญโดยกลุ่ม UNC 3886 และยังพบความพยายามของต่างชาติในการใช้โลกไซเบอร์เพื่อแทรกแซงการเมืองภายในประเทศ โดยเฉพาะช่วงการเลือกตั้งทั่วไป
จากสถานการณ์ดังกล่าว K. Shanmugam ได้เปิดเผยยุทธศาสตร์ 3 เสาหลักของสิงคโปร์ในการรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์
สิงคโปร์จะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดกับผู้กระทำผิด ไม่ว่าจะโจมตีเป้าหมายในประเทศ หรือใช้สิงคโปร์เป็นฐานในการโจมตีประเทศอื่น เขาได้เปิดเผยกรณีการจับกุมชาวต่างชาติ 6 คนที่ต้องสงสัยว่ามีส่วนร่วมในการแฮกเว็บไซต์ในต่างประเทศเพื่อขโมยข้อมูลไปขาย และยังมุ่งเป้าไปที่ข้อมูลของรัฐบาลต่างชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้บล็อกเว็บไซต์ปลอม 10 แห่งที่สร้างโดยต่างชาติเพื่อแอบอ้างเป็นเว็บไซต์ท้องถิ่น ซึ่งอาจถูกใช้ในปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารที่เป็นปฏิปักษ์
K. Shanmugam ชี้ว่าโครงสร้างพื้นฐานสำคัญส่วนใหญ่เป็นของภาคเอกชน ซึ่งไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ แต่กลับต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามระดับสูง ดังนั้น กฎระเบียบเพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ รัฐบาลจำเป็นต้องเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นเพียงผู้กำกับดูแล มาเป็นการเป็น ‘พันธมิตร’ ที่ทำงานอย่างใกล้ชิด โดยจะดำเนินการดังนี้
"นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับแนวทางของรัฐบาลสิงคโปร์ เราจำเป็นต้องยกระดับสนามแข่งขันระหว่างผู้โจมตีและผู้ป้องกัน เพื่อช่วยพลิกสถานการณ์ให้ได้" K. Shanmugam เน้นย้ำ
สิงคโปร์ยังคงยึดมั่นในระเบียบระหว่างประเทศที่ตั้งอยู่บนกฎเกณฑ์ และเชื่อว่าความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยง ‘การแข่งขันทางอาวุธไซเบอร์’ (Cyber Arms Race) ซึ่งจะนำไปสู่สถานการณ์ที่เลวร้ายสำหรับทุกคน เขาชี้ว่าความไว้วางใจเป็นพื้นฐานของการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองและการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในยามวิกฤต
เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ สิงคโปร์จะเดินหน้าโครงการ UN-Singapore Cyber Programme (UNSCP) ต่อไปอีก 3 ปี เพื่อฝึกอบรมและสร้างขีดความสามารถให้กับเจ้าหน้าที่ด้านไซเบอร์จากประเทศสมาชิกสหประชาชาติ ซึ่งจะช่วยยกระดับความสามารถในการป้องกันภัยคุกคามในระดับโลก
K. Shanmugam ปิดท้ายด้วยการแสดงความหวังว่า SICW จะเป็นเวทีสำคัญในการสร้างบทสนทนาที่จริงจังและนำไปสู่ความร่วมมือที่ลึกซึ้งและยั่งยืนยิ่งขึ้น เพื่อสร้างโลกไซเบอร์ที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน

Izumi Nakamitsu รองเลขาธิการและผู้แทนระดับสูงด้านการลดอาวุธแห่งสหประชาชาติ (United Nations Under-Secretary-General and High Representative for Disarmament Affairs) ได้ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษ โดยชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างความร่วมมือระดับโลกเพื่อกำหนดทิศทางอนาคตของความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงบทบาทของสหประชาชาติ, ผลกระทบของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และความสำคัญของการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน
Izumi Nakamitsu เริ่มต้นด้วยการชื่นชมบทบาทผู้นำของสิงคโปร์ในเวทีโลก โดยกล่าวว่า "ความเป็นผู้นำด้านการทูตไซเบอร์อย่างต่อเนื่องตลอด 10 ปีไม่ใช่เรื่องเล็ก" พร้อมทั้งยกย่องการเติบโตของ SICW จนกลายเป็นเวทีสำคัญระดับโลก และขอบคุณสำหรับความร่วมมือที่แข็งแกร่งผ่านโครงการ UN-Singapore Cyber Programme ซึ่งจะขยายเวลาต่อไปอีก 3 ปี
เธอกล่าวว่า การกำหนดอนาคตของโลกไซเบอร์ให้เป็นพื้นที่ที่สงบสุข, ปลอดภัย, ครอบคลุม และเจริญรุ่งเรืองนั้น เป็นความพยายามร่วมกัน (Collective Endeavor) ที่ทุกคน ตั้งแต่รัฐบาลไปจนถึงประชาชนทั่วไป ต้องมีบทบาทร่วมกัน จากนั้นได้นำเสนอ 3 แนวคิดที่สำคัญในการก้าวสู่ยุคใหม่ของความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
ในวาระครบรอบ 80 ปีของสหประชาชาติ องค์กรกำลังปรับตัวภายใต้โครงการริเริ่ม UN80 เพื่อให้มีความคล่องตัวและพร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ซึ่งรวมถึงความมั่นคงทาง ICT ด้วย การมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องของรัฐสมาชิกในเวที UN ได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างความแตกต่างได้จริง โดยมีความสำเร็จที่สำคัญคือ
"เราทราบดีว่าภัยคุกคามในโลกไซเบอร์จะไม่ลดน้อยลง ดังนั้น ความมุ่งมั่นของเราในการมีส่วนร่วมก็ต้องไม่ลดลงเช่นกัน" Izumi Nakamitsu กล่าว
Izumi Nakamitsu ชี้ว่าปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เป็นเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบอย่างมหาศาล และมีลักษณะเป็นเทคโนโลยีสองคม (Dual-use Technology) ที่มาพร้อมกับความเสี่ยงและโอกาสอย่างชัดเจน
ความเสี่ยงจาก AI
โอกาสจาก AI
ดังนั้น การจะก้าวสู่ยุคใหม่ของความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ จำเป็นต้องพิจารณาบทบาทของ AI อย่างรอบคอบ ทั้งในมุมของผู้โจมตีและผู้ป้องกัน
บทบาทของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ไม่ใช่ภาครัฐนั้นไม่อาจประเมินค่าต่ำเกินไปได้ เมื่อเป็นเรื่องของความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เราทุกคนมีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งทำให้เราทุกคนเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทางใดทางหนึ่ง
ธรรมชาติของเทคโนโลยี ICT ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานที่ถูกครอบครองและดำเนินการโดยหลายฝ่ายข้ามพรมแดน ทำให้ความร่วมมือจากหลายภาคส่วนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยทุกภาคส่วนมีบทบาทที่แตกต่างกันไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของเทคโนโลยีเกิดใหม่ การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนนวัตกรรมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้โดยสิ้นเชิง แม้ว่ากระบวนการที่มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายฝ่ายจะมีความซับซ้อน แต่ก็สร้างโอกาสที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
Izumi Nakamitsu ปิดท้ายด้วยการยืนยันว่า สหประชาชาติพร้อมที่จะเป็นพันธมิตรที่มุ่งมั่น และตั้งตารอที่จะร่วมมือกับทุกฝ่ายในการกำหนดอนาคตของความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ทั้งในงาน SICW และในวันข้างหน้า
การกล่าวเปิดงาน SICW 2025 จากทั้ง 3 ผู้กำหนดนโยบายหลัก ทั้งจากสิงคโปร์และสหประชาชาติ สะท้อนภาพตรงกันว่า ในยุคใหม่ของความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่กำลังจะมาถึง ไม่มีใครสามารถต่อสู้เพียงลำพังได้อีกต่อไป และ ความร่วมมือ คือเสาหลักเดียวที่จะค้ำจุนโลกดิจิทัลไว้ได้
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด