ตลอดช่วงระยะเวลากว่า 20 ปี บ้านเรามีธุรกิจออนไลน์ที่ถูกพัฒนาโดยผู้ประกอบการไทยเกิดขึ้นมากมาย แต่ก็ล้มหายตายจากไปก็มากในช่วงระยะเวลาที่แตกต่างกัน ถ้านับจำนวนของบริษัทที่ยังอยู่มาจนถึงทุกวันนี้เห็นจะมีไม่มาก และหนึ่งในนั้นมีสาย Fintech อยู่ นั่นคือ Silkspan บริษัทโบรกเกอร์ผลิตภัณฑ์การเงินที่ยืนหยัดมาถึงทุกวันนี้ก็ 19 ปีแล้ว
ในช่วงที่ผู้ประกอบการธุรกิจ Startup ไทยเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก การได้เรียนรู้และรับฟังมุมมองของผู้บริหารที่ผ่านร้อนผ่านหนาว จนสามารถสร้างธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนนั้น เป็นสิ่งที่มีคุณค่า วันนี้ Techsauce เลยขอนำเนื้อหาการพูดคุยกับผู้บริหารสูงสุงคุณบุตรรัตย์ จรูญสมิทธิ์ Founder และ CEO บริษัท Silkspan มาแบ่งปันให้กับผู้อ่านได้เรียนรู้ ถึงปรัชญา แนวคิดการดำเนินธุรกิจของชายคนนี้ให้ได้ทราบกัน
ก่อนที่จะมาเปิดธุรกิจส่วนตัว คุณบุตรรัตย์เคยทำงานในองค์กรขนาดใหญ่, เป็นนักลงทุนและ Banker ตอนนั้นคนที่จบ MBA ก็มักจะเลือกทำงานในบริษัทสายการเงิน เขาทำงานได้ประมาณ 5 ปี ถือ ว่าประสบความสำเร็จไม่น้อย ได้มีโอกาสไปทำงานที่ฮ่องกง โดยในช่วงนั้นปี 1999 ถ้าใครยังจำได้เป็นช่วง Financial Crisis พอดี เขาต้องเดินทางไปกลับระหว่างไทยกับฮ่องกงอยู่เสมอ โดยงานที่ไทยจะเป็นงานซ่อมบริษัทเสียส่วนใหญ่ ยกตัวอย่างจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นทำให้หนี้เพิ่มเป็น 2 เท่าจาก 5,000 ล้านเป็น 10,000 ล้านหน้าที่ของเขาก็คือต้องเข้าไปช่วยแก้ปัญหา เข้าไปดูในส่วนของคลังสินค้าว่าบางส่วนเอาออกได้ไหมแปลงเป็นเงินจะได้ใช้เจ้าหนี้คืน พูดง่ายๆ คือเข้าไปทำทุกอย่างให้ลูกค้ามีเงินที่จะใช้หนี้ บุตรรัตย์กล่าวว่า ในตอนแรกเขาไม่เคยคิดว่าจะออกมาทำธุรกิจของตนเองเนื่องจาก คนทำธุรกิจส่วนตัวต้องแกร่งพอที่จะรับความเสี่ยงหลายอย่างได้ และหัวหน้าผมในเวลานั้นก็ได้พูดคำนึงที่ทำให้เกิดข้อคิดว่างานของเรานั้นอยู่ฝั่งขวามือของงบดุลคือประกอบด้วยหนี้กับทุน ฝั่งซ้ายคือสินทรัพย์เพราะหน้าที่ของงาน Banker นั้นเราไม่ได้ทำอะไรใหม่ที่อยู่บนโลกใบนี้เลยเพียงแต่ปรับย้ายแปลงหนี้ให้เป็นทุน ดึงหนี้ให้ออกไปมันจึงทำให้เกิดความคิดว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ตัวเรา ประกอบกับได้เริ่มไปดูงานสายการตลาดและสายการผลิต กลับกลายเป็นสิ่งที่เราชอบ และเป็นตัวของตัวเองมากกว่า
ในเวลานั้นเลยคิดว่าตนเองควรจะเริ่มทำอะไรสักอย่าง ซึ่งเป็นช่วงที่อินเทอร์เน็ตเริ่มเข้ามาและพบว่ามันสามารถสื่อสารกับคนเยอะๆ ได้
คิดว่าการทำธุรกิจเองอันดับแรกคงต้องทำอะไรที่เราพอมีพื้นฐาน มีความรู้ ความเชี่ยวชาญอยู่ นั่นก็คือเรื่อง Finance สองคือต้องเป็นอะไรที่เรารัก มี Passion กับมัน
บุตรรัตย์กล่าวว่า เขาชอบสร้าง ชอบบริหารทีมงาน ก็เริ่มวิเคราะห์สิ่งที่มีอยู่ในตลาดเวลานั้น “ การจะรู้ข้อมูลเกี่ยวกับประกันภัย ข้อมูลสินเชื่อต่างๆ ต้องมาคอยโทรสอบถาม และรอรับ Fax ถ้าต้องการเปรียบเทียบก็วุ่นวายหน่อยเพราะต้องติดต่อหลายที่เลย ทำไมไม่มีเว็บไซต์ที่เป็น Financial Supermarket ในไทย ผมคิดว่าอำนาจมักอยู่ที่ผู้บริโภคเสมอเนื่องจากนิสัยคนมักเปลี่ยนไม่ค่อยได้ เพราะไม่ว่าจะโฆษณาดีแค่ไหนคนจะตัดสินใจซื้อก็ต่อเมื่อมีการเปรียบเทียบก่อน ดังนั้นจึงคิดว่ามันควรจะมีตลาดทางการเงินเกิดขึ้นบนโลกนี้และคิดว่ายังไม่เคยมีใครทำ เนื่องจากผมไม่ได้เชื่อมโยงอะไรกับบริษัทประกันดังนั้นหากทำตลาดทางการเงินขึ้นมา เราก็ไม่มีอะไรที่ขัดแย้งซึ่งผลประโยชน์ อีกอย่างอินเทอร์เน็ตก็มาแล้วโอกาสที่คนตัวเล็กๆ อย่างเรา ก็ทสามารถสร้างบริการนี้ให้เกิดขึ้นมาได้ ผมจึงตัดสินใจลาออกจากบริษัทนั้นเมื่อปี 1999 แล้วนำเงินส่วนตัวที่มีมาลงทุนสร้าง Silkspan”
ในยุคนั้นคนทำน้อยมากเนื่องจากเป็นยุคฟองสบู่แตก แต่เขาก็ทำเนื่องจากคิดว่าธุรกิจที่ทำนั้นไม่มีวันหายไปจากสังคมนี้ มันคือกการทำประกันภัยในระบบ
การทำธุรกิจทุกอย่างก็มีอุปสรรค เริ่มต้นจากศูนย์ มีแค่ตัวกับ Laptop ที่ไปนำเสนองานให้กับธนาคารกับบริษัทประกัน ช่วงแรกๆ ก็ไม่รู้ด้านเทคนิคมาก เคยโดนโกงด้วย เรียกได้ว่าเจออุปสรรคตั้งแต่ต้น ตอนเปิดตัวทีแรกก็ใช่ว่าจะมีคนเข้ามาเยอะ ในเวลานั้นอินเทอร์เน็ตก็ยังช้า และถึงเมื่อเริ่มเข้ามาใช้ เวลานั้นก็ถือเป็นของใหม่ ต้องสร้างความรู้ความเข้าใจในตลาดอีก เขาเรียนรู้และนำมาสร้างเป็นระบบที่ทำให้เกิดเป็น Silkspan ในทุกวันนี้
“ถ้าดูจากข้างนอกบริษัทเข้ามา อาจคิดว่าไม่มีกระบวนการอะไรเยอะ แต่จริงๆ แล้ว นั่นเป็นเพียงแค่ยอดน้ำแข็ง ปัจจุบันมีพนักงานประมาณ 700 คน หลายคนอาจฟังแล้วตกใจ คิดว่าเป็นธุรกิจออนไลน์น่าจะไม่ต้องใช้คนมาก แต่ในโลกของความจริงพบว่าต้องมีพนักงานบริการลูกค้าที่มีทักษะและความรู้ เนื่องจากคนในโลกอินเทอร์เน็ตอีก 10 กว่าล้านคนเป็นคนพึ่งเริ่มใช้งานในโลกออนไลน์มาแบบครึ่งๆ กลางๆ และเราเป็นบริการทางการเงินต้องอธิบายให้เกิดความเข้าใจ น่าเชื่อถือ และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้ให้ได้ ซึ่งตรงนี้เราจะมีระบบในการสร้างทีมงานที่ดูแลลูกค้าขึ้นมา”
บุตรรัตย์มองว่า คือการเจาะตลาดอินเทอร์เน็ตในเมืองไทย เนื่องจากเป็นเรื่องนอกเหนือความสามารถของเขา คอนโทรลไม่ได้ เมื่อ 19 ปีที่แล้วหากเทียบกับเกาหลี สิงคโปร์เราทิ้งห่างมาก เพราะ 2 ประเทศนี้เขาทุ่มทุนมากเพื่อพัฒนาให้ประเทศก้าวขึ้นมาอยู่ในกลุ่มประเทศที่ถูกจับตามอง เขามีแผนที่ชัดเจน และรู้ว่าตนเองไม่มีทรัพยากรธรรมชาติที่เยอะมาก เขาจึงต้องผลักดันจุดนี้ขึ้นมาให้ได้ สำหรับบ้านเราผู้ประกอบการจำเป็นจะต้องฟันฝ่าอุปสรรคไปให้ได้ แต่อย่างที่บอกหาก Silkspan อยู่ได้มาขนาดนี้คนอื่นก็ต้องทำได้ เขามั่นใจ และนี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องท้าทายที่สุดแล้วในการหาวิธีเข้าถึงคนกลุ่มนี้ได้อย่างไร
เขามองว่าตัว CEO คือส่วนสำคัญที่สุด ของพวกนี้เป็นเรื่องที่มาจากวัฒนธรรมองค์กร เขาเห็นมาเยอะบริษัทที่ดำเนินธุรกิจแบบเดิม สุดท้ายเมื่อจะเปลี่ยน เจ้าของมักบอกว่าเอาไว้ก่อนแล้วกันเพราะสุดท้ายแล้วลูกน้องอย่างไรก็ต้องทำตามนาย การเปลี่ยนเข้าสู่โลกดิจิทัลมันดีแน่นอนเนื่องจากมีประสิทธิภาพมากกว่าใช้คนน้อยกว่า Digital transformation หากมองให้ดีนั้นมันคือโอกาสของทุกองค์กร ในงานลักษณะเดียวกัน งานบางงานใช้เพียง 4 คนแต่บางบริษัทอาจต้องใช้ 200 คน
วันนี้ถ้าเดินเข้าธนาคารไปเมื่อต้องการกู้ยืมเขาก็ต้องบอกว่าของของเขาดีที่สุดโดยไม่มีการเปรียบเทียบ ทำประกันภัยก็เหมือนกัน ซึ่งสิ่งนี้จึงเป็นที่มาที่ทำให้เกิด Silkspan ในวันนี้ แม้ฟังดูไอเดียจะเริ่มง่าย แต่ความเป็นจริง การเข้าใจพฤติกรรมของคนในประเทศนั้นๆ และพัฒนาบริการที่ตอบโจทย์ตรงความต้องของผู้บริโภคเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เรายังคงเน้นการขยายในส่วนของภาคธุรกิจการเงิน เนื่องจากแบรนด์ Silkspan เป็นเรื่องของผู้ให้คำปรึกษาทางการเงิน ถ้าจะขยายเพิ่ม สิ่งที่อยากทำคือการลงทุนในกองทุน ถ้ามองว่าคนหนึ่งคนมีเรื่องเกี่ยวข้องกับการเงินหลักๆ ขอแบ่งเป็น 3 ส่วน เรื่องแรก เป็นเรื่องสำคัญคือเงินกู้ยืมอย่างไรให้เหมาะสมเนื่องจากทุกคนไม่ได้เกิดมารวยหมด พอเริ่มมีครอบครัวมีสินทรัพย์ก็เริ่มที่จะทำประกันภัย อีกส่วนคือวางแผนวัยเกษียณก็ต้องการนำเงินไปลงทุนในกองทุนเพื่อได้มาซึ่งส่วนแบ่งของผลกำไร และนี่คือส่วนที่ผมมองว่าน่าสนใจ
เขามีโอกาสได้คุยกับรุ่นน้องที่ทำ Startup หลายราย ได้แนะนำเขาไปบ้างเหมือนกันว่าในโลกของความเป็นจริงนั้นเป็นอย่างไร "คนที่เป็น Startup ได้ต้องเป็นคนที่ทำจริงและฝึกปฎิบัติเสมอเมื่อพลาดแล้วต้องลุกมาทำใหม่ ฟังดูไม่หวือหวาแต่มันคือพื้นฐานของความเป็นจริง"
คนที่เป็น New Generation ที่พึ่งเข้ามา อยากให้พัฒนาด้าน EQ ไม่ใช่แค่ IQ เนื่องจากเราต้องสื่อสารกับคนต่างๆ เราต้องเปลี่ยนไม่ใช่ให้คนทั้งโลกเปลี่ยนเพื่อบริการของคุณ หากเราขัดแย้งกับธรรมชาติเกินไป จะกลายเป็นเสียหายกับตัวเราเอง การมีความฝันเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องตั้งอยู่บนความเป็นจริงด้วย
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด