ส่องโอกาส เป้าหมาย และพัฒนาการด้าน FinTech จาก 6 สมาคมในประเทศแถบเอเชีย-แปซิฟิก | Techsauce

ส่องโอกาส เป้าหมาย และพัฒนาการด้าน FinTech จาก 6 สมาคมในประเทศแถบเอเชีย-แปซิฟิก

อุตสาหกรรม FinTech อีกหนึ่งตลาดที่ทั้งโลกกำลังจับตามอง โดยเฉพาะในแถบเอเชีย-แปซิฟิก ที่ต้องยอมรับเลยว่า มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดขึ้นเป็นอย่างมากจากการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี โดยเฉพาะดิจิทัลแพลตฟอร์ม ทำให้โลกของการเงินดิจิทัลมีโอกาสเติบโต ก้าวหน้าไม่แพ้กับอุตสาหกรรมอื่น ๆ เลย

 

โดยเมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา Techsauce ได้มีโอกาสเข้าร่วม Virtual Event ของโครงการ “10x1000 Flex for Inclusion” แพลตฟอร์มที่รวบรวมการอบรมและการเรียนรู้ด้านฟินเทค เพื่อนำเสนอหลักสูตรที่จะให้องค์ความรู้ ให้แนวคิดเกี่ยวกับฟินเทคและได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของผู้นำองค์กรระดับนานาชาติ และเป็นโครงการที่เกิดจากความร่วมมือของ IFC หรือ International Finance Corporation หนึ่งในสมาชิกของ World Bank Group และ Alipay  ในเครือ Ant Group ซึ่งโครงการนี้ ตั้งเป้ารับสมัครผู้อบรมที่มีคุณสมบัติและผ่านการคัดเลือกเข้าจำนวน 1,000 รายจากทั่วโลก โดยหลักสูตรดังกล่าวนี้จะเป็นการเรียนการสอนออนไลน์เต็มรูปแบบ

จากกิจกรรมงานเสวนา 10x1000 Flex for Inclusion ที่เป็น Flex Insights ได้มีการขึ้นมานำเสนอถึงภาพรวมการดำเนินงานในอุตสาหกรรมการเงินดิจิทัลของแต่ละประเทศในแถบเอเชีย-แปซิฟิก นำโดย

  • คุณเจสัน พาว ประธานกรรมการบริหารและ ประธานพนักงาน (Chife of Staff) จาก Ant Group 

  • คุณชลเดช เขมะรัตนา นายกสมาคมฟินเทคประเทศไทย 

  • คุณชาดับ ไทยาบิ นายกสมาคมฟินเทคประเทศสิงคโปร์ 

  • คุณคาเรน เอส พัวฮ์ นายกสมาคมฟินเทคประเทศมาเลเซีย 

  • คุณลิโต วิลลานูเอวา ประธาน FinTech Alliance ประเทศฟิลิปปินส์ 

  • คุณเฮเลน หลี่ ผู้จัดการทั่วไป สมาคมฟินเทคแห่งฮ่องกง 

  • คุณนาเมียร ข่าน ประธานและกรรมการผู้ก่อตั้ง MENA Fintech Association

 

ส่อง 6 สมาคม FinTech กับการพัฒนาอุตสาหกรรมการเงินดิจิทัลในแต่ละประเทศ 

แขกรับเชิญแต่ละคน ได้ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนกันถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม Fintech ในมุมมองที่อ้างอิงจากภูมิหลังของแต่ละประเทศ ทั้งในแง่ของระบบเศรษฐกิจ ปัญหาเชิงโครงสร้าง ทิศทางของอุตสาหกรรมการเงินดิจิตอลในอนาคต และนโยบายสนับสนุนผู้ประกอบการด้านฟินเทคของแต่ละที่ รวมไปถึงความคาดหวังจากโครงการ 10x1000 Flex for Inclusion 

เริ่มที่ คุณคาเรน เอส พัวฮ์ นายกสมาคมฟินเทคจากประเทศมาเลเซีย ได้กล่าวว่า มาเลเซียเริ่มจัดตั้ง ‘สามปีแห่งนวัตกรรม’ ขึ้นตั้งแต่ปีก่อน ด้วยมองเห็นถึงทิศทางการยอมรับในเทคโนโลยีที่เป็นไปในทางบวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ Infratech และสิ่งสำคัญที่สุดที่ขาดไปไม่ได้ก็คือตัวผู้คน เช่น ผู้สูงอายุ แรงงานข้ามชาติ หรือคนงานในภาคเศรษฐกิจ โดยอธิบายต่อว่าสิ่งที่คนของเขาขาดในตอนนี้คือเรื่องของประกันสุขภาพ  โดยยกตัวอย่างถึง Policy Street สตาร์ทอัพที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2017 ที่ให้ความร่วมมือกับกลุ่มบริษัทและสถาบันทางการเงิน เพื่อให้การบริการด้านประกันสุขภาพแบบดิจิตอลในมาเลเซีย เพื่อสนับสนุนให้คนเข้าถึงบริการเหล่านี้ได้ง่ายยิ่งขึ้น และสำหรับบริษัทต่าง ๆ คุณคาเรนมองว่าความท้าทายขององค์กรเหล่านี้ ไม่ได้มีเพียงเรื่องของการให้บริการลูกค้าเท่านั้นที่ต้องทำให้ดี แต่ต้องสร้างประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นได้ด้วย

ทางด้าน คุณนาเมียร ข่าน ประธานและกรรมการผู้ก่อตั้ง MENA Fintech Association องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ดูแลด้านฟินเทค ได้แบ่งปันข้อมูลที่น่าสนใจว่า ภูมิภาคตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือเป็นเหมือนกับเหมืองทองคำสำหรับวงการฟินเทค ด้วยจำนวนผู้เข้าถึงสมาร์ทโฟนที่มีมากถึง 480 ล้านคน อายุเฉลี่ยของประชากรในภูมิภาคที่เหมาะสม และการสร้างหน่วยงานดูแลส่งเสริมนโยบาย Open Banking ด้วยปัจจัยต่าง ๆ ชี้ให้เห็นถึงโอกาสของการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเงินได้แบบไร้ขีดจำกัด

คุณนาเมียร เสริมอีกว่า หนึ่งปีที่ผ่านมาเขาเห็นแนวโน้มการเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญในอุตสาหกรรมการชำระเงิน (Payment Industry) เฉพาะในภูมิภาคดังกล่าว มีตัวเลขการทำธุรกรรมเพิ่มขึ้นถึง 71% และมีการเพิ่มขึ้นของธนาคารดิจิตอลอย่างรวดเร็ว พร้อมวิเคราะห์แนวโน้มว่าการเติบโตของบริการธนาคารดิจิตอลจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไปถึงปีหน้า ดังนั้นแล้ว อุตสาหกรรมการชำระเงิน จะกลายเป็นโอกาสที่สำคัญมากสำหรับพวกเรา และจะกลายเป็นหัวใจของวงการฟินเทคในอนาคต 

สำหรับประเทศไทย คุณชลเดช เขมะรัตนา นายกสมาคมฟินเทคประเทศไทย เกริ่นถึงปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการสนับสนุนวงการฟินเทคอย่างปัจจัยด้านเงินลงทุน ว่าแม้มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงต้นปีก่อน แต่ทางสมาคมทราบมาว่าประเทศไทยมีนักลงทุน เพิ่มจาก 1.2 ล้านเป็น 2 ล้านคนในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งเป็นระยะเวลาที่สั้นมาก แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีประชากรมากถึง 70 ล้านคน จำนวนของนักลงทุนอาจไม่มากเพียงพอรองรับการเติบโตของนักพัฒนาและเทคโนโลยี ดังนั้นแล้วทางสมาคมมองว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรีบหาแหล่งสนับสนุนด้านเงินลงทุนเพิ่มเติม โดยคุณชลเดชมองว่าหลักสูตร 10x1000 Flex for Inclusion ที่สร้างขึ้น อาจเข้ามาช่วยอุตสาหกรรมฟินเทคในไทยได้ทั้งในแง่ของเงินทุนและองค์ความรู้ 

ทั้งนี้เสริมว่า กระแสคริปโตเคอเรนซี่ในประเทศไทยได้รับความนิยมและมีการยอมรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สะท้อนภาพเทรนด์การเงินของโลกเราในขณะนี้ ว่าถึงเวลาแล้วที่องค์การธนาคารทั่วโลกควรเตรียมตัวพร้อมรับการเกิดใหม่ของทรัพย์สินดิจิตอลและสร้างตลาดเงินทุนมารองรับการเกิดขึ้นของนวัตกรรมฟินเทคให้ได้ รวมถึงควรจัดให้มีเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (DLT) ที่ทำให้การประสานงานสามารถทำได้สะดวกขึ้นในตลาดทุน 

สำหรับประเทศที่กำลังเป็นผู้นำด้าน Wealth Management อย่างฮ่องกงได้ตัวแทนจากสมาคมฟินเทคแห่งฮ่องกง ซึ่งก็คือ คุณเฮเลน หลี่ มาพูดถึงอุตสาหกรรมการเงินว่าขณะนี้ฮ่องกงให้ความสนใจในสามสิ่งด้วยกัน อย่างแรกคือ นวัตกรรม Wealthtech เทคโนโลยีด้านการเงินที่แยกตัวออกมาจากฟินเทคอย่างชัดเจน โดยเน้นไปที่การให้ความสำคัญกับเรื่องของการบริหารความมั่งคั่งเป็นหลัก ถัดไปคือเรื่องของการประกันภัย เน้นว่าธุรกิจประกันภัยดิจิตอลควรได้รับการเข้าถึงแหล่งเงินทุนมากขึ้น และการร่วมมือกันของทุกภาคส่วนจะเป็นสิ่งสำคัญมากในระยะยาว สุดท้ายคือเรื่อง การเข้าถึงบริการทางการเงิน ทาง Bank for International Settlements Innovation Hub ที่มีศูนย์กลางอยู่ในฮ่องกง พยายามจะพัฒนาการทำธุรกรรมรายย่อยของภาคธุรกิจและประชาชน (Retail CBDC) มาโดยตลอด รวมไปถึงการทำระบบธุรกรรมระหว่างสถาบันการเงิน (Wholesale CBDC) ด้วย พร้อมปิดท้ายว่าทางสมาคมจึงยินดีเป็นอย่างมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ 

ถัดมาที่ประเทศสิงคโปร์ คุณชาดับ ไทยาบิ นายกสมาคมฟินเทคประเทศสิงคโปร์ เกริ่นนำอย่างอบอุ่นว่าเพื่อให้เกิดผลดีต่อไปกับอุตสาหกรรมนี้ในระยะยาว สิงคโปร์มีความพร้อมในการสนับสนุนทุกทีมที่เข้าร่วมโครงการนี้ พร้อมให้ข้อมูลถึงแบ็คกราวน์ของวงการฟินเทคในประเทศสิงคโปร์ว่า ตั้งแต่ปี 2015 จนมาถึงปัจจุบัน สิงคโปร์มีสตาร์ทอัพด้านการเงินเพิ่มขึ้นถึง 1,500 บริษัท

สำหรับสิ่งที่ประสบความสำเร็จและเป็นประโยชน์มากที่สุดคือ API exchange โครงการที่ริเริ่มโดย ASEAN Financial Innovation Network ที่ทางสิงคโปร์เข้าไปให้ความร่วมมือ โดยได้รับการสนับสนุนจากองค์การด้านการเงินระดับนานาชาติมากมาย อาทิ IFC และ ASEAN Bankers Association คุณชาดับย้ำว่าแพลทฟอร์มนี้จะกลายเป็นตัวช่วยผลักดันนวัตกรรมทางการเงินทั้งจากในอาเซียนและรอบโลก  

ไม่เพียงเท่านั้น สิงคโปร์ยังพยายามสร้างสะพานเชื่อมต่อการทำงานร่วมกันระหว่างบริษัท Fintech ต่าง ๆ กับที่ปรึกษาทางธุรกิจ เพื่ออุดช่องโหว่ในการจัดตั้งและพัฒนานวัตกรรมให้มีความเหมาะสมกับขนาดและขีดความสามารถองค์กร ด้วยการจัดงาน Singapore FinTech Festival ขึ้นทุกปี โดยอีเว้นท์นี้ไม่เพียงช่วยให้ที่ปรึกษาสามารถวิเคราะห์และจัดการปัญหาการพัฒนาแพลทฟอร์มได้ดีขึ้น แต่ยังทำให้แพลทฟอร์มด้านการเงินที่พัฒนามามีระบบการโค้ดที่ดีกว่าเดิม

 ในส่วนของตัวแทนคนสุดท้าย คุณลิโต วิลลานูเอวา ประธาน FinTech Alliance จากประเทศฟิลิปปินส์ กล่าวถึงบทบาทของธนาคารกลางฟิลิปปินส์ในขณะนี้ ว่ากำลังมีแผนพัฒนาเพื่อรองรับโครงข่ายฟินเทคที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีการร่างเกณฑ์กำกับดูแลการธนาคารดิจิตอลขึ้น ซึ่งในขณะนี้มีการออกใบอนุญาตทั้งหมด 5 ใบแล้ว และจะออกเพิ่มอีก 3 ใบภายในสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ก็เพื่อรองรับมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมทางการเงินที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ และเพื่อเปิดตัวระบบการชำระเงินดิจิตอลของประเทศ อีกทั้งพูดถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจาดการระบาดของโควิดครั้งใหญ่ กล่าวว่าทำให้มีภาค Ecommerce ในประเทศฟิลิปปินส์เติบโตแบบทวีคูณ กระตุ้นการบริโภคในช่องทางออนไลน์ให้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมสร้างให้เกิดการเติบโตของธุรกรรมและการชำระเงินแบบดิจิตอลตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

โดยในเชิงโครงสร้าง โซลูชันดิจิตอลด้านการเงินที่สมาชิกของ FinTech Alliance ได้พัฒนาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กลายเป็นส่วนช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในด้านการเข้าถึงแหล่งเงินของคนในประเทศได้ด้วย โดยธุรกิจขนาดเล็กและประชากรที่มีรายได้ต่ำ สามารถจัดการรายได้ของตนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจของตนได้มากกว่าเดิม ทั้งนี้เสริมถึงเป้าหมายขององค์กรว่า ต้องการเสริมสร้างการเข้าถึงบริการทางการเงินให้กับชาวฟิลิปปินส์อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าไว้ว่า 50% ของการใช้จ่ายต้องย้ายมาอยู่บนดิจิตอลแพลตฟอร์ม และผู้ใหญ่ในประเทศ 70% ต้องมีบัญชีธนาคารเป็นของตนเอง ภายในปี 2023

 ความคาดหวังจากหลักสูตร 10x1000 Flex for Inclusion 

แขกรับเชิญทุกคนได้แบ่งปันถึงเป้าหมายและสิ่งที่คาดว่าจะได้รับจากการเป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตร Flex ของ 10X1000 โดยต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ารู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้เข้าโครงการที่เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมฟินเทค

ในการเสวนาครั้งนี้ ทุกคนได้พูดถึงองค์กรต่าง ๆ ทั้งในภาคเอกชนและภาครัฐของแต่ละประเทศ ที่เริ่มมีการคิดนโยบายสนับสนุนด้านการพัฒนาฟินเทคออกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยกระแสโลกดิจิทัลที่เติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง ดังนั้นแล้ว หลักสูตร Flex จาก 10x1000 จะไม่ใช่เพียงการช่วยส่งเสริมกันและกันให้เกิดการเชื่อมต่อขององค์ความรู้แบบไร้ขีดจำกัด แต่ยังเป็นการส่งเสริมพัฒนา Fintech Ecosystem ต่อไปในระยะยาว ให้มีการเกิดขึ้นของฟินเทคใหม่ ๆ อยู่ตลอด นอกจากนี้ มีความคาดหวังว่าการสร้างโครงการเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมการเงินดิจิตอลโดยเฉพาะ จะช่วยส่งเสริมให้เกิดความยั่งยืน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานได้ในสเกลใหญ่ และสร้างผลกระทบในเชิงบวกให้กับภาคเศรษฐกิจต่อไป

 




ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

แนะเทรนด์ลงทุนในสตาร์ทอัพปี 2024 พร้อมช่องทางใหม่ในการระดมทุนจากงาน KATALYST TALK MEETUP #3

บทความที่เอสเอ็มอี สตาร์ทอัพควรอ่านเพื่อเป็นไกด์ไลน์ในการเผชิญความท้าทายในปีนี้ จากการรับฟังภายในงาน KATALYST TALK MEETUP #3 ‘Navigating the Startup Challenges in 2024 and Beyond’...

Responsive image

เตรียมพบกับงาน SEA Blockchain Week 2024 (SEABW) ยกขบวนกูรูผู้เชี่ยวชาญด้านบล็อกเชน และ Web 3 ระดับโลกกว่า 100 คน มาร่วมพูดคุยแบ่งปันประสบการณ์ที่เมืองไทย

Southeast Asia Blockchain Week หรือ SEABW งานด้านบล็อกเชนสุดยิ่งใหญ่ระดับภูมิภาค ที่เตรียมจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ในวันที่ 24-25 เมษายน 2567 ซึ่งจะจัดขึ้น ณ True ICON HALL ช...

Responsive image

กระทรวง AI : เมื่อ AI อันตรายเกินกว่าจะปล่อยไว้ โลกเร่งออกกฎควบคุม

AI กลายเป็นสิ่งที่ต้องถูกควบคุมด้วยกฎหมาย และต้องถูกจับตาดูโดยหน่วยงานของรัฐบาลอย่าง ‘กระทรวง AI’ ที่มีอำนาจ และความสำคัญไม่แพ้หน่วยงานอื่น ๆ แต่ทำไม AI ต้องถูกควบคุมโดยรัฐบาล ? กร...