จากปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำแข็งขั้วโลกละลาย หรือระดับน้ำทะเลปรับตัวสูงขึ้น ทำให้หลายอุตสาหกรรมหันมาตระหนักถึงประเด็นดังกล่าว และผลักดันเรื่องของ Go Green ให้กลายเป็น Mega Trand ระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของภาคพลังงาน ที่จะต้องลดการพึ่งพาการเผาไหม้ฟอสซิล มาสู่การใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) มากขึ้น
แน่นอนว่าแนวโน้มดังกล่าวได้สร้างความท้าทายให้กับ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจพลังงานแบบครบวงจรแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่ดำเนินธุรกิจครอบคลุมกว่า 10 ประเทศทั่วโลก โดยกว่า 70-80% ของ EBITDA มาจากธุรกิจพลังงานถ่านหิน ดังนั้นบริษัทจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนธุรกิจเพื่อมุ่งสู่พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น
ในงาน Techsauce Global Summit 2020 คุณสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของบ้านปูได้มาพูดคุยถึงกลยุทธ์ในการปรับเปลี่ยนธุรกิจไปสู่การเป็นผู้บริการด้านพลังงานอย่างยั่งยืน
คุณสมฤดี ชัยมงคล ในฐานะ CEO ของ บ้านปู กล่าวว่า บ้านปู เดินหน้าดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์ Greener & Smarter ที่มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีความชาญฉลาด โดยอาศัยนวัตกรรมเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนช่วย เพื่อให้สอดคล้องกับความท้าทายด้านความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมพลังงานที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะประกอบไปด้วย 3D ด้วยกัน ได้แก่ Digitalization Decarbonization และ Decentralization
Digitalization : เป็นแนวคิดของการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมพลังงาน โดยบ้านปูอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบการจัดการพลังงาน ซึ่งจะเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่จะเข้ามารองรับการใช้พลังงานทางเลือกอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการสนับสนุนการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ร่วมกัน
นอกจากนี้บ้านปู ยังมีการจัดตั้ง Banpu Innovation Venture ภายใต้การดำเนินงานของ Banpu VC เพื่อมุ่งเน้นการลงทุนในเทคโนโลยี contactless โดยที่ผ่านมาได้มีการลงทุนในแอพพลิเคชั่น เช่น Muvmi บริการรถสามล้อ และ HAUPCAR แพลตฟอร์มสำหรับเช่ารถ เป็นต้น ทั้งนี้บ้านปูยังได้มีการใช้ Data ในการวิเคราะห์ และออกแบบบริการที่สามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างเหมาะสมเฉพาะคนด้วย
Decarbonization : ปัจจุบันหลายประเทศต่างให้ความสำคัญในการวางเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง โดยบ้านปู ได้มีการวางเป้าหมายเพื่อให้สอดคล้องกับ sustainable development goal ขององค์การสหประชาชาติประการที่ 7 ที่มุ่งเน้นด้านการจัดหาพลังงานที่ยั่งยืนให้กับทุกคน (sustainable energy for all)
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บ้านปูได้มีการจัดสรรการลงทุนกว่า 95% ในโครงการพลังงานสะอาด โดยบริษัทคาดว่าสัดส่วนของพลังงานทางเลือกจะมีมากกว่า 60% ในพอร์ตการลงทุนทั้งหมดของบ้านปูภายในปี 2568 โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงทุนนั้น บ้านปูจะคำนึงถึง 3 ด้านด้วยกัน ได้แก่ ความคุ้มค่า ความน่าเชื่อถือและความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านพลังงานสีเขียว
Decentralization : การกระจายตัวของแหล่งผลิตและจำหน่ายพลังงาน ที่จะทำให้สามารถเข้าถึงประชาชนได้มากขึ้น ในบริบทของประเทศไทยรัฐบาลเป็นผู้ผูกขาดการให้บริการไฟฟ้า ดังนั้นหนึ่งในกลยุทธ์ของการกระจายอำนาจ หรือ การดิสรัประบบผูกขาดที่พึงกระทำได้นั้น คือ การติดตั้ง Solar Cell ให้กับลูกค้ารายย่อย ที่ประชาชนต่างก็สามารถผลิตไฟฟ้าใช้เองได้
โดยที่ผ่านมา บ้านปู ได้เข้าซื้อหุ้นกว่า 47.7% ของบริษัทผลิตแบตเตอรี่ในประเทศสิงคโปร์ เป็นบริษัทที่สามารถผลิตแบตเตอรี่ที่มีสามารถกักเก็บพลังงานได้สูงถึง 1 Gigawatt-hour ซึ่งมีกำลังการผลิตสูงที่สุดในอาเซียน จากการที่แบตเตออรี่ถือเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานสำหรับพลังงานทางเลือก และเพื่อรองรับความมั่นคงด้านพลังงานในอนาคตด้วย
ด้วยนวัตกรรมดังกล่าว จะทำให้กลยุทธ์การกระจายตัวของแหล่งผลิตพลังงานของบ้านปู มีความยืดหยุ่นสูง โดยบริษัทจะสามารถนำเสนอ Solar Cell ให้กับกลุ่มค้าที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น บ้านเรือน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล หรือแม้กระทั่งงานเทศกาลดนตรี อย่าง Big Mountain ซึ่งจะต้องใช้พลังงานไฟฟ้าตลอดเวลา ได้ใช้บริการพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ของบ้านปูเช่นกัน
เป้าหมายของบ้านปู ในระยะต่อไป คือ การพัฒนาระบบไมโครกริดขนาดใหญ่ และการทำ Solar Farm ที่สามารถขับเคลื่อนได้ทั้งเกาะ ที่ไม่สามารถเข้าถึงการใช้พลังงานไฟฟ้าจากส่วนกลางของประเทศไทย
นอกจากนี้บ้านปู ยังได้มีการขยายธุรกิจไปยัง รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งอยู่ภายใต้การดำเนินงานของ Banpu NEXT บริษัทย่อยของบ้านปู ที่ก่อนหน้านี้เพิ่งได้มีการเปิดแพลตฟอร์มสำหรับการใช้รถยนต์ EV เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในอุตสาหกรรมยานยนต์ ทั้งนี้ที่ผ่านมา Banpu NEXT ยังได้เปิดตัว eFerry ซึ่งเป็นเรือเฟอร์รี่ไฟฟ้าลำแรกในประเทศไทยอีกด้วย
นอกจากนี้ Jeffrey Char ผู้ก่อตั้ง SOGO Energy ซึ่งเป็นผู้ดำเนินรายการตลอดการสัมภาษณ์ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บ้านปู โดยเขาได้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับผลกระทบของ COVID-19 ที่มีต่อภาคพลังงาน ว่าทางบ้านปูเตรียมความพร้อมอย่างไรต่อประเด็นดังกล่าว โดยคุณสมฤดี ได้เปิดเผยว่า การเข้ามาของ COVID-19 ได้ส่งผลให้ผู้คนต้องมีการทบทวน และคิดใหม่เกี่ยวกับวิถีชีวิตในเมือง ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนการทำงานมาทำที่บ้านมากขึ้น แน่นอนว่าการใช้พลังงานก็ย่อมมากขึ้นไปด้วย และจากการที่บ้านปูเอง อยู่ระหว่างเตรียมพร้อมสำหรับการพัฒนา Smart City จึงได้เห็นถึงโอกาสที่จะขยายกลยุทธ์การกระจายแหล่งผลิตพลังงาน ไปสู่ภาคบ้านเรือนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม COVID-19 ยังได้เข้ามาทำให้เห็นโอกาสใหม่ ๆ ของการพัฒนา Smart City ที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่แวดวงของการใช้พลังงาน แต่ทำให้เกิดเป็นแนวคิดของการสร้างแพลตฟอร์มที่รวมเทคโนโลยีทั้งหมดเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรอีกด้วย โดยบ้านปูจะใช้ประโยชน์จากโอกาสดังกล่าวที่จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับร้านค้าปลีก และระบบไมโครกริดที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ อย่างครบวงจร
“ท้ายที่สุดแล้วเราเชื่อว่า พลังงานสะอาด จะเป็นอนาคตของอุตสาหกรรมพลังงาน" คุณสมฤดี กล่าว
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด