SWIFT ระบบโอนเงินระดับโลกที่อยู่เบื่องหลังการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ | Techsauce

SWIFT ระบบโอนเงินระดับโลกที่อยู่เบื่องหลังการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ

การทำธุรกรรมระหว่างประเทศเกิดขึ้นได้อย่างไร ? เมื่อมีการค้าระหว่างประเทศย่อมมีการชำระราคา หรือการโอนเงินจากผู้ซื้อไปยังผู้ขาย เช่น ถ้าผู้นำเข้าสินค้าซื้อสินค้าจากผู้ส่งออกชาวจีน ผู้นำเข้ามีหน้าที่ในการชำระค่าสินค้า หรือโอนเงินจากธนาคารในประเทศไทย ไปยังบัญชีธนาคารของผู้ส่งออกในประเทศจีน ซึ่งในชีวิตจริงการโอนเงินไม่ได้มีการส่งเงินในรูปแบบ ธนบัตร หรือเหรียญกษาปณ์ แต่จะใช้การส่งข้อความไปหักบัญชีระหว่างธนาคารที่มีบัญชีของผู้ซื้อสินค้า และไปเพิ่มเข้าบัญชีธนาคารของผู้ขายสินค้า ซึ่งการส่งข้อความนี้จำเป็นต้องมีการสื่อสารระหว่างธนาคารของผู้ซื้อและผู้ขาย ว่ามูลค่าธุรกรรมมูลค่าเท่าไร ทำธุรกรรมเมื่อใด ดังนั้นแล้วระบบสื่อสารที่ทำหน้าที่รับส่งข้อความระหว่างธนาคารทั่วโลกจึงถือกำเนิดขึ้น

SWIFT หรือมีชื่อเต็มว่า Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication คือระบบการสื่อสารของผู้ให้บริการสถาบันทางการเงินระหว่างประเทศ ก่อตั้งขึ้นในปี 1973 จากความร่วมมือของธนาคาร 239 แห่งจาก 15 ประเทศทั่วโลก ได้รวมตัวกันเพื่อแก้ไขเรื่องปัญหาด้านการสื่อสารระหว่างธนาคารในการส่งข้อความข้ามพรมแดน โดยมีสำนักงานใหญ่ในประเทศเบลเยียม โดยเริ่มมีการใช้งานในการส่งข้อความระหว่างธนาคารครั้งแรกในปี 1997 เพื่อทดแทนการใช้งาน Telex Technology

Telex Technology หรือ โทรเลขซึ่งเป็นระบบสื่อสารที่ใช้รับ-ส่งข้อความระหว่างประเทศโดยผู้ที่เป็นสมาชิกในเครือข่ายสามารถส่งต่อข้อความระหว่างกันได้โดยตรง ผ่านการป้อนหมายเลขที่กำหนดโดยเป็นวิธีในการส่งข้อความทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างธุรกิจต่าง ๆ ก่อนจะมีการใช้งานที่ลดลงเนื่องจากเครื่อง Fax ได้รับความนิยมมากขึ้นในปี 1980

ในช่วงแรกการโอนเงินระหว่างประเทศต้องอาศัยระบบ Correspondent Banking หรือ ธนาคารตัวแทนต่างประเทศ ผ่านสายโทรเลขที่ธนาคารผู้ส่งเงินและผู้รับเงินใช้ เพื่อรับส่งข้อความคำสั่งการโอนเงิน แม้ว่าจะสามารถใช้งานได้แต่มีข้อจำกัดด้านระยะเวลาการรับข้อความที่ช้า ทำรายการได้ไม่เกิน 10,000 รายการต่อวัน และไม่มีมาตราฐานในการส่งข้อความ ทำให้มีความเสี่ยงในการทำธุรกรรมที่ผิดพลาด

ตัวอย่างการทำธุรกรรมด้วยระบบ Correspondent Banking ระหว่างธนาคารผู้นำเข้าที่มีบัญชีกับธนาคาร A ไปยังผู้ส่งออกที่มีบัญชีกับธนาคาร C

  • กรณีที่ 1 หากธนาคาร A และ ธนาคาร C มีเครือข่ายที่เชื่อมต่อกันโดยตรง 

  • กรณีที่ 2 หากธนาคาร A และ ธนาคาร C ไม่มีเครือข่ายที่เชื่อมต่อกันโดยตรง จึงจำเป็นต้องหาตัวกลางมาเชื่อมโดยทั่วไปมักจะเป็นธนาคารของประเทศที่เป็นศูนย์กลางทางการเงิน เช่น สหรัฐฯ เช่น ธนาคาร B เพื่อให้สามารถทำธุรกรรมได้ ธนาคาร A จำเป็นต้องส่งข้อความผ่าน ธนาคาร B แล้วให้ธนาคาร B ส่งต่อข้อความต่อไปยังธนาคาร C จึงจบกระบวนการทำธุรกรรม ซึ่งใช้ระยะเวลานาน ประกอบกับค่าธรรมเนียมที่สูง

เมื่อมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีทำให้อุตสาหกรรมการเงินการธนาคารพัฒนาอยู่ในยุคดิจิทัล ธนาคารแต่ละประเทศจึงร่วมมือกันพัฒนาระบบสื่อสารกลางอย่างระบบ SWIFT ที่เป็นแพลตฟอร์มที่มีรูปแบบข้อความเป็นของตัวเอง เพื่อให้ธนาคารที่เป็นสมาชิกสามารถส่งข้อความการทำธุรกรรมได้อย่างเป็นมาตรฐานสากล รวดเร็ว ปลอดภัย และลดความผิดพลาด

ภาษาที่ใช้ในระบบ SWIFT จะไม่ได้เป็นรูปแบบเบอร์โทรศัพย์มือถืออย่างระบบ PromptPay หรือเลขบัญชีธนาคารแต่จะใช้รูปแบบ ระบบส่งข้อความมาตรฐาน SWIFT Bank Identifier Codes (BIC) หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า SWIFT Code คือ ภาษาในระบบ SWIFT เป็นรูปแบบมาตรฐานของรหัสธนาคารที่ใช้ในการโอนเงินระหว่างประเทศ ประกอบด้วย

  • รหัสธนาคาร 4 หลัก
  • รหัสประเทศ 2 หลัก
  • รหัสที่อยู่ธนาคาร 2 หลัก
  • รหัสสาขาธนาคาร 3 หลัก (optional)

เช่น หากต้องการโอนเงินไป Bank of America สาขาสำนักงานใหญ่ ที่นครนิวยอร์ก ต้องระบุรายละเอียดของผู้รับเงิน เช่น ชื่อบัญชี เลขที่บัญชี ที่อยู่ของผู้รับเงิน และ SWIFT Code "BOFAUS3NXXX" ทั้งนี้ ยังมีข้อมูลรายละเอียดอื่น ๆ ที่จะส่งไปพร้อมกันด้วย อาทิ หมายเลขอ้างอิง และรูปแบบของการโอน โดยรหัสทั้งหมดอยู่ในรูปแบบมาตรฐานของ SWIFT

ปัจจุบันระบบ SWIFT มีธนาคารและสถาบันที่เป็นสมาชิกกว่า 11,000 แห่งจาก 200 ประเทศทั่วโลกตั้งแต่ ธนาคาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ สถาบันนายหน้า ธุรกิจองค์กร นายหน้าแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ไปจนถึงหน่วยงานรัฐบาล โดยข้อมูล ณ 15 พฤศจิกายน 2022 มีจำนวนข้อความที่ถูกส่งหากันผ่านระบบสื่อสารกว่า 47.20 ล้านข้อความต่อวัน หรือ 9,681 ล้านข้อความในปี 2022 คิดเป็นการเติบโตจากต้นปีถึง 7.57% โดยมีค่าความเสถียรของระบบ (Network Availability) ที่ 99.999%

สุดท้ายแล้วแม้ SWIFT จะเป็นที่นิยม แต่ยังคงมีค่าธรรมเนียมสูงและใช้เวลานาน เช่น โอนเงินจำนวน 200 ดอลลาร์สหรัฐฯ จากไทยไปบางประเทศมีค่าธรรมเนียมสูงถึง 1,650 บาท หรือคิดเป็นประมาณ 28% ของยอดเงินที่โอน เนื่องจากเป็นการบริการที่มีหลายขั้นตอน บางกรณีที่ธนาคารที่ทำธุรกรรม ไม่ได้มีเครือข่ายเชื่อมต่อกับธนาคารปลายทางทำให้ต้องส่งข้อความผ่านธนาคารหลายทอด ทำให้ค่าธรรมเนียมต่อครั้งสูง และใช้เวลาการโอนเงินอย่างน้อย 3-5 วันทำการ ประกอบกับเวลาทำการของธนาคารในแต่ละประเทศที่แตกต่างกันทำให้มีการรับและส่งข้อความไม่ต่อเนื่อง จึงเหมาะกับการทำธุรกรรมที่มีมูลค่าสูง ไม่ค่อยพบการใช้งานสำหรับผู้ใช้งานบุคลธรรมดาในชีวิตประจำวัน หรือการโอนเงินของกลุ่มที่ไปทำงานจากต่างประเทศและต้องการส่งต่อรายได้กลับมายังประเทศตน

นอกจากนี้ยังมีทางเลือกอื่นในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศอย่างระบบ SPFS หรือ System for Transfer of Financial Messages ของธนาคารกลางรัสเซีย, CIPS หรือ Cross-Border Interbank Payment System ของประเทศจีน หรือการพัฒนาสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อมีเป้าหมายในการเป็นระบบในการส่งต่อมูลค่าระหว่างประเทศ ที่จะช่วย ลดระยะเวลาและลดค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมอย่างโครงการ mBridge ของธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาการโอนเงินข้ามพรมแดนผ่านการใช้งาน CBDC

อ้างอิง : บิทคับ อินฟินิตี้ Bitkub Infinity

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

OpenAI เปิดตัว ChatGPT-4o แรงกว่า ฉลาดกว่า AI ที่เข้าใกล้ความสามารถของมนุษย์ไปอีกขั้น

OpenAI บริษัทผู้สร้าง ChatGPT ประกาศเปิดตัวโมเดลใหม่ล่าสุด ChatGPT-4o ที่เร็วกว่า ฉลาดกว่าเดิม มีความสามารถในการรับรู้และโต้ตอบอย่างเป็นเหตุเป็นผล และเข้าใจอารมณ์มนุษย์...

Responsive image

‘KBTG Techtopia: A BLAST FROM THE FUTURE' ชวนท่องโลกเทคโนโลยีสุดล้ำ ไปกับรถไฟสายพิเศษ

เผยความพิเศษของ 'KBTG Techtopia: A BLAST FROM THE FUTURE' 1 Day Event แห่งปี 2024 กับการโชว์เทคสุดล้ำ, Speakers มากกว่า 50 คน มาแชร์ความรู้และเทรนด์ใหม่ๆ ผ่าน 3 เวทีใหญ่ และเวิร์กช...

Responsive image

จากเทคโนโลยี AI สู่ IA เพื่อมนุษย์ ในมุมมองของ “Pattie Maes”

เทคโนโลยีจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ และพัฒนาชีวิตได้อย่างไร? มาดูแนวคิดในการออกแบบและทดสอบอุปกรณ์ที่ช่วยให้มนุษย์สามารถเรียนรู้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไปกับคุณ Pattie Maes นักวิจ...