บทสรุปจากเวทีเสวนาภายใต้หัวข้อ “VISION SHARING: ทิศทางเทคไทย Turn ThAI to Tech Tide” โดยสองผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีระดับสูง ดร.การดี เลียวไพโรจน์ (ดร.อ้อ) และ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ (ดร.เอ้) บนเวที AI Innovation Summit 2025 สะท้อนภาพความจริงที่น่ากังวลว่า ประเทศไทยกำลัง ‘ช้าเกินไป’ ในโลกที่เทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI และ Deep Tech กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดดทั่วโลก ใจความหลักของการเสวนาครั้งนี้ชี้ชัดว่า
ทุกอย่างยังเป็นไปได้ แต่ต้องเริ่มจากการสร้างคน และรัฐต้องเปลี่ยนบทบาทอย่างสิ้นเชิง
ดร.อ้อ สรุปปัญหาพื้นฐานของ Tech Talent ไทยไว้ 3 มิติหลัก ได้แก่ จำนวนคนน้อย และทักษะไม่ตรงกับความต้องการของตลาดงานมูลค่าสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลากรด้าน STEM (Science, Technology, Engineering, Mathematics) รวมไปถึงความท้าทายในการปั้นนักศึกษาทางด้าน Technology และ AI ให้เติบโตไปเป็น AI Entrepreneur ได้จริง และสร้างโซลูชันที่ไม่ใช่แค่งานวิจัยจากห้องแล็ปแต่ตอบโจทย์เชิงพาณิชย์
ขณะเดียวกัน ดร.เอ้ ตอกย้ำความรุนแรงของสถานการณ์ด้วยตัวเลขที่สะท้อนความเสี่ยงที่จะหลุดจากสนามการแข่งขันระดับโลก โดยประเทศไทยผลิตวิศวกร AI ได้ ไม่ถึง 500 คนต่อปี ในขณะที่ความต้องการขั้นต่ำของประเทศอยู่ที่ 20,000 คนต่อปี และประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอย่างเวียดนามและอินโดนีเซียผลิตหลักแสน นั่นหมายความว่าไทยต้องเร่งเพิ่มกำลังการผลิตบุคลากรกว่า 40 เท่า และในยุค AI ความล่าช้าเพียง 6 เดือนอาจเทียบเท่าติดอยู่ใน ‘ยุคหิน’
ทางออกของวิกฤตบุคลากรคือการลดการยึดติดกับระบบการศึกษาที่ปรับตัวช้า ดร.อ้อ เสนอให้รื้อระบบจากรากฐาน โดยลดการพึ่งพาหลักสูตรมหาวิทยาลัยที่ใช้เวลาปรับปรุงนานถึง 4–5 ปี และหันมาใช้โมเดลใหม่ ได้แก่
ทั้งสองผู้เชี่ยวชาญเห็นตรงกันว่า วิธีคิดของรัฐในการสนับสนุน Deep Tech ต้องเปลี่ยนจากรากฐานการให้ในรูปแบบทุนวิจัย (Grant) แบบเดิมที่เต็มไปด้วยกฎระเบียบ ไม่ตอบโจทย์นวัตกรรมเชิงพาณิชย์อีกต่อไป โดยต้องปรับการลงทุนตามรูปแบบนี้
แม้ไทยจะไม่สามารถแข่งขันกับ Hyperscaler ในการเป็นผู้คิดค้นนวัตกรรมหลัก แต่เรามีจุดแข็งในฐานะผู้เล่น Supply Chain ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในยุค Data Economy ได้ เนื่องจากไทยมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน Data Center และ Submarine Data Cable
ดร.อ้อ เสนอให้ไทยกำหนดบทบาทใหม่ที่สอดคล้องกับจุดแข็งที่มีอยู่แล้ว ด้วยการเป็น ‘Supply Chain ข้อกลาง’ ที่ขาดไม่ได้ในระบบเศรษฐกิจข้อมูลโลก
นอกจากนี้ไทยต้องใช้อำนาจรัฐต่อรองมูลค่าเพิ่ม โดยสามารถชักชวนให้ Hyperscaler ที่เข้ามาลงทุน Data Center สร้างมูลค่าเพิ่มให้ประเทศกลับคืนมา เช่น การเสนอ Freemium Cloud Model ให้ SME หรือการร่วมพัฒนาบุคลากร AI เพื่อป้อนเข้าสู่เศรษฐกิจ รวมถึงมุ่งสร้างบริการมูลค่าสูงที่เกี่ยวข้องกับ Data Economy เช่น Data Cleansing, Maintenance, และ Post-production ของกลุ่มข้อมูล ซึ่งเป็นกลุ่มงานใหม่ที่สามารถสร้างรายได้มหาศาลให้ประเทศ
หากหวังจะเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นประเทศแห่งเทคโนโลยีที่สร้างคนและสร้างนวัตกรรมที่แข่งขันได้ในเวทีโลกอย่างแท้จริง ผู้นำทางการเมืองและผู้นำรัฐต้องมีความมุ่งมั่นในระดับสูงสุดที่จะนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นตัวนำในการขับเคลื่อนประเทศ การปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามสภาพจะทำให้ประเทศไทยห่างชั้นกับโลกไปอย่างกู่ไม่กลับ
อ้างอิง: ข้อมูลจาก VISION SHARING: ทิศทางเทคไทย Turn ThAI to Tech Tide งาน AI Innovation Summit 2025
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด