เปิดฉากสงคราม Co-Working Space ในไทย

เปิดฉากสงคราม Co-Working Space ในไทย

ช่วงนี้ตลาด Co-working space ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังร้อนแรงและกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยที่ได้กลายเป็นผู้เล่นสำคัญ ไม่ใช่แค่เฉพาะในภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังเป็นในระดับโลกด้วย เพราะผู้เล่นระดับโลกได้เริ่มขยับเข้ามาขยายตลาดในประเทศไทยแล้ว สำหรับเทรนด์ Co-working space ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดในย่านใจกลางเมืองที่เป็นย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ ได้มีแบรนด์ Co-working space ใหญ่ 4 แบรนด์เข้ามาแข่งขันในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน โดยทั้งสามผู้เล่นหลักที่ว่านั้นคือ Glowfish, WeWork,  JustCo และ Spaces

ภาพรวมตลาด Co-Working Space

เฉพาะในกรุงเทพมี Co-Working Space จำนวนมากที่เปิดขึ้นรองรับกลุ่มผู้ใช้ในลักษณะที่แตกต่างกัน บ้างก็เป็นร้านกาแฟที่เปิดพื้นที่ทำงาน บ้างก็เป็น Co-Working Spaceสำหรับนักเรียนนักศึกษา , ชาวต่างชาติ , Startups เป็นต้น โดยในตลาดมีเจ้าใหญ่ๆ ที่มีมากกว่า 1 สาขาในกรุงเทพ ได้แก่

  • HUBBA  : Co-Working Space ที่แรกที่เปิดขึ้นในประเทศไทย ปัจจุบันมี 4 สาขาได้แก่เอกมัย สยาม อ่อนนุช และสีลม
  • Glowfish : มีทั้งในลักษณะของ Private - Office ให้เช่า , โต๊ะทำงานให้เช่ารายวัน ปัจจุบันมี 2 สาขาคือ สาทรและอโศก
  • Spaces (สเปซเซส) ผู้บุกเบิก Co-Working Space และออฟฟิศ แห่งอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเปิดให้บริการแล้วทั้งหมด 2 สาขาในไทย โดยสาขาแรก ณ Summer Hill และสาขาที่ 2 บนชั้น 24 ณ อาคารโครงการมิกซ์ยูส สาขาจัตุรัสจามจุรี อีกทั้ง Spaces เตรียมขยายสาขาที่ 3 ในไทยอย่างเป็นทางการ ณ เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ เร็วๆนี้
  • Regus (รีจัส) ผู้ให้บริการพื้นที่สำนักงานจากประเทศอังกฤษ เป็นแบรนด์ที่เป็นส่วนหนึ่งของ IWG โดยมีทั้งหมด 19 แห่งทั่วประเทศไทยและมีแผนที่เปิดใหม่อีก 2 แห่ง ได้แก่ เชียงใหม่ ไอคอน พาร์ค และ โครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ และที่อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค (ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค)

2 ผู้เล่นระดับ Global บุกไทย

Justco : JustCo เป็นผู้ให้บริการ Co-Working Space จากสิงคโปร์ เป็น Startup ที่ Siri Venture ลงทุนด้วย โดยได้เปิดสาขาแรกในประเทศไทยที่อาคาร เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ โดยการเปิดตัวที่กรุงเทพฯ คือก้าวแรกในการขยายธุรกิจสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตลาดอื่นๆ ในเอเชีย โดยมีเป้าหมายเปิด 100 สาขาในเอเชียปี 2020

Wework : เป็น Co-Working Space ระดับ Global ปัจจุบันมีสาขาในเอเชียได้แก่ เซี่ยงไฮ้ เกาหลี ฮ่องกง สิงคโปร์ โดยไทย เป็นประเทศต่อไปที่ Wework กำลังเข้ามาตีตลาด

การที่ผู้เล่นต่างชาติรายใหญ่ๆเริ่มขยับขยายธุรกิจมายังเมืองไทย เป็นตัวบ่งบอกได้ว่า ธุรกิจ Co-Working ไม่ได้เป็นแค่เทรนด์ แต่กำลังเติบโตและเปลี่ยนแปลงความต้องการในการทำงานและออฟฟิศรูปแบบเดิมๆ โดยในครั้งนี้ทาง Techsauce ได้สัมภาษณ์ คุณชาล เจริญพันธ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง HUBBA ผู้คร่ำหวอดในวงการ Startup และ Co-Working Space ประเทศไทยยาวนาน มาคุยถึงสถานการณ์และความเป็นไปในการแข่งขันของธุรกิจนี้

ในตอนนี้มี Co-working space ในบริเวณสาทรอยู่ 3 แห่งที่ใกล้กัน คุณมีความเห็นเกี่ยวกับการแข่งขันในครั้งนี้อย่างไรบ้าง

คู่แข่งในระดับ Global player ในตอนนี้มีสามผู้เล่นหลักด้วยกันคือ Justco, WeWork และ Spaces ซึ่งมี Regus เป็นเจ้าของ

Regus เป็น Co-working space จากกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็นแหล่งสร้างสรรค์ไอเดียและแรงบันดาลใจในการสร้างออฟฟิศเพื่อองค์กร

JustCo และ WeWork นั้นค่อนข้างที่จะมีความทันสมัยและถือเป็นเวอร์ชันที่ค่อนข้างจะฮิปเตอร์ของ Regus พวกเขาต่างมีสไตล์เป็นของตัวเอง อย่างไรก็ตามก็จะมีเรื่องของเป้าหมายหลัก, กลุ่มลูกค้าและโครงสร้างธุรกิจที่เหมือนกัน

“JustCo และ ​WeWork นั้นได้จ้างงานคนที่เคยทำงานที่ Regus เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาด Co-working space ใน ranking ที่สูงขึ้น ซึ่งมันก็ค่อนข้างเสี่ยงอยู่พอสมควรแต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าทางองค์กรจะได้ประโยชน์จากการเดินเกมในลักษณะนี้

นอกจากนี้ความได้เปรียบทางการตลาดที่ทาง JustCo และ WeWork มีก็คือ พวกเขาได้ทำการปรับตัวเพื่อให้เข้ากับกลุ่มลูกค้า ส่วน Regus นั้นจะเน้นไปที่ลูกค้าที่เป็น Gen X การออกแบบและสไตล์การตกแต่งของ JustCo และ WeWork จะดึงดูดกลุ่ม Gen Y มากกว่า ซึ่งก็ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบเนื่องจากคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มที่จะใช้ชีวิตการทำงานแบบไร้ซึ่งอิสระมากขึ้น ในท้ายที่สุดแล้วรูปแบบการทำงานของพวกองค์กรก็จะเริ่มปรับให้เข้ากับสไตล์การทำงานที่เป็นอิสระและรูปแบบการทำงานแบบนี้ก็จะแทรกซึมไปยังสถานที่อื่นๆ ทั่วทั้งโลก นี่ถือเป็นข่าวดีของคนที่ทำธุรกิจในวงการ Co-working space

Co-working space ในแต่ละที่มีนักลงทุน และกลยุทธ์การตลาดต่างกันไหม?

ต่างกันอย่างแน่นอน ในกรณีของ Glowfish นั้นเป็นธุรกิจครอบครัวที่มีอสังหาฯ อยู่ในมือ เป็นเจ้าของทั้งตึกอีกทั้งยังมีร้านอาหาร ซึ่งก็จะให้บรรยากาศและดีไซน์ที่มีความหรูหราและมีเอกลักษ์เฉพาะตัว

แต่ละที่ต่างมีกลยุทธ์ของตัวเอง หลักๆ แล้วสิ่งที่มีเหมือนกันคือ การสร้างสถานที่ให้เป็นมากกว่าที่ทำงาน สร้างคอมมูนิตี้ สร้างสภาพแวดล้อมให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก และขนาดกลาง

ทาง HUBBA เองมีความเห็นอย่างไรบ้างกับการแข่งขันของ Co-working space ในครั้งนี้?

กลุ่มลูกค้าของเราเป็นคนละกลุ่มอีกทั้งสถานที่ตั้งก็ไม่ได้โฟกัสไปที่กลุ่ม CBD ถือเป็นความโชคดีที่ Co-working space ที่กำลังแข่งกันในตอนนี้นั้นมีเป้าหมายเจาะไปที่กลุ่มนักธุรกิจ โดย Hubba นั้นเจาะกลุ่มคนทำงานที่เป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ หรือสตาร์ทอัพ มีพื้นที่การทำงานที่ช่วยเสริมสร้างเครือข่ายที่ต่อยอดธุรกิจที่จะช่วยผู้ประกอบการและ Digital Nomad

HUBBA นั้นถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่อยู่ในราคาที่เอื้อมถึง สถานที่ตั้งมีหลากหลาย บรรยากาศให้เลือกหลายรูปแบบ ดังนั้นทาง HUBBA จึงไม่ได้มีความกังวลกับการที่มี Co-working space จากต่างประเทศที่เน้นพวกกลุ่มลูกค้าองค์กรในไทย เนื่องจากกลุ่มลูกค้าเป็นคนละกลุ่มกัน

คุณคิดว่าอนาคตของ Co-working space Landscape ในประเทศไทยเป็นอย่างไร?

ตอนนี้ในกรุงเทพเองมีพื้นที่ปล่อยว่างจำนวนมาก ถือเป็นโอกาสของคนที่อยากจะเข้ามาเล่นในธุรกิจ Co-working space เนื่องจากบางที่ตั้งค่าเช่าไม่สูงมาก ตลาดในประเทศไทยตอนนี้ยังไม่อิ่มตัวอีกทั้งยังคงเติบโตได้อีกเรื่อยๆ

การที่โลกเราสามารถเชื่อมโยงกันมากขึ้นเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้ธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วในทุกอุตสาหกรรม ดังนั้นจึงทำให้ธุรกิจมีทุนที่จะลงทุนใน Co-working space ด้วยทำให้ตลาดนี้มีความน่าสนใจและน่าจับตามองเป็นอย่างมาก

คุณคิดว่านักลงทุนเป็นผู้ถือกุญแจสำคัญในการที่จะบอกว่าใครจะประสบความสำเร็จในตลาดไหม?

แน่นอนว่าเงินทุนนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดปัจจัยหนึ่งในการขับเคลื่อนบริษัทให้ก้าวไปข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณได้ทำความเข้าใจตลาดของตัวเองอย่างลึกซึ้งไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของวัฒนธรรมของในแต่ละประเทศ, และกลยุทธ์การตลาดของฝั่งคู่แข่งก็จะทำให้คุณได้เปรียบกว่าแน่นอน

ปัจจัยสำคัญที่จะควรพิจารณาในการทำธุรกิจ Co-working space ให้ประสบความสำเร็จ

  • ที่ตั้ง
  • การสร้างการรับรู้ให้แบรนด์
  • พื้นที่
  • การออกแบบ
  • ฟังก์ชัน
  • การตลาด
  • การลงทุน
  • ราคา

อย่างที่รู้กันว่าในตอนนี้ WeWork กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องในทั่วทุกมุมโลก แต่ดูเหมือนว่าการเข้ามาในไทยครั้งนี้จะเป็นการเข้ามาเพื่อที่จะมีที่ตั้งในตลาดไทยเท่านั้น ในขณะที่ JustCo มีความต้องการที่จะเข้ามาแข่งขันในตลาดไทยจริงๆ ในแง่ของด้านการดีไซน์นั้นมองว่า WeWork มีความได้เปรียบกว่าทาง JustCo และ Glowfish เพราะว่ามีการออกแบบที่ปรับให้เข้ากับแต่ละวัฒนธรรมและดูมีความหรูหรากว่า

ตลาด Co-working space นี้นับว่ากำลังเป็นที่น่าจับตา เนื่องจากได้เข้าสู่ตลาดที่หลากหลายและตอบโจทย์สำหรับลูกค้าในองค์กร

Disclaimer: HUBBA is a strategic partner of Techsauce

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ทำไม AI ถึงสำคัญ กับ Data Analytics เคล็ดลับการใช้ Data ให้ง่ายขึ้นจาก Wisesight

ชวนมาฟัง คุณวรัทธน์ วงมณีกิจ Chief Product Officer จาก Wisesight ผู้ให้บริการด้านการวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียลมีเดียชั้นนำในประเทศไทย ใน Session How to Combine AI and Data Analytics fo...

Responsive image

WFH ตกยุค? Amazon vs Google กับอนาคตการทำงาน เมื่อยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีเลือกเส้นทางสู่ความสำเร็จต่างกัน

การระบาดของ COVID-19 ได้เปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานไปอย่างสิ้นเชิง หลายบริษัทหันมาใช้นโยบาย Work From Home (WFH) เพื่อความปลอดภัยของพนักงาน แต่เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย บริษัทเทคโนโลยียัก...

Responsive image

แจก 4 ฟีเจอร์ AI ออกแบบใน Microsoft Designer แอปคล้าย Canva ผสม Midjourney

บทความนี้ Techsauce จึงอยากพามาทำความรู้จักกับ Microsoft Designer กันอีกสักครั้ง ว่าผ่านไป 2 ปี แพลตฟอร์มนี้มีอะไรเพิ่มมาใหม่บ้าง...