5 เทคโนโลยีที่จะมาเขย่าวงการสุขภาพภายในปี 2020 | Techsauce

5 เทคโนโลยีที่จะมาเขย่าวงการสุขภาพภายในปี 2020

วงการสุขภาพกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล และเทคโนโลยีที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ถูกคาดหวังว่าจะมี อนาคตที่ยาวไกลในเชิงของการช่วยวินิจฉัยโรค การรักษา และการดูแลทั้งผู้ที่ป่วยและไม่ป่วยในอนาคต และเหล่านี้คือ 5 เทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูงในการพลิกโฉมวงการการแพทย์และสุขภาพ

1. ปัญญาประดิษฐ์ กับวงการแพทย์

จะมีอัตราการเติบโต 42% และจะมีมูลค่าสูงถึง 6.6 พันล้านในปี 2021

เป้าหมายของ AI ในวงการสุขภาพ คือการพัฒนาการรักษา และดูแลผู้ป่วยโดยการช่วยแพทย์เวชปฏิบัติในการใช้ความรู้ทางการแพทย์  ซึ่งระบบได้ทำการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนและจดจำข้อมูลไว้แล้ว  ทำให้สามารถนำเสนอการรักษาที่ดีเยี่ยมสู่ผู้ป่วยได้  

ระบบปัญญาประดิษฐ์มีศักยภาพในการบริการข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้กับบุคลากรทางการแพทย์และนักวิจัยได้แบบ real-time ทันที ที่มีความความต้องการ ทั้งยังเป็นข้อมูลคุณภาพจากแหล่งข้อมูลอิเล็คทรอนิกส์ทางการแพทย์ (EHRs) ด้วย

คาดกันว่าตลาดของ AI ที่เกี่ยวเนื่องกับวงการสุขภาพจะได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วทั่วโลกด้วยอัตรา การเติบโตที่สูงถึง 42% ไปจนถึงปี 2021  ประสิทธิภาพการรักษาที่ดีเยี่ยม, ค่าใช้จ่ายที่ลดลง, กำจัดขั้นตอนฟุ่มเฟือยเพื่อให้กระแสงานในโรงพยาบาลหมุนเวียนง่ายขึ้น, และแผนการรักษาแบบผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง คือเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้ตลาด AI ได้รับการยอมรับและประสบความสำเร็จอย่างสูงในวงการสุขภาพ

AI ช่วยพัฒนาการเข้าถึงและวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง โดยความช่วยเหลือของระบบประมวลผลภาพดิจิทัล, การจดจำแบบแผน, และการเรียนรู้ของเครื่องจักรบน AI แพลตฟอร์ม  

ยกตัวอย่าง

butterfly network

บริษัท startup ชื่อ Butterfly Network ที่ได้พัฒนาเครื่องอัลตราซาวนด์ 3 มิติแบบมือถือซึ่งถ่ายทอดภาพ 3D ออกมาแบบ real-time ทั้งยังอัพโหลดข้อมูลขึ้นไปบน cloud service ซึ่งจะทำการจำแนกลักษณะและวินิจฉัยภาพให้แบบอัตโนมัติด้วย  คาดการณ์ว่าเทคโนโลยี AI ที่ช่วยหนุนวงการแพทย์ดังกล่าวนี้จะส่งผลกระทบกับ ตลาดวินิจฉัยภาพทางการแพทย์โดยรวมและอัตราการเติบโตของมันอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้นวัตกรรม AI ยังช่วยแนะแนวทางและหาทางออกของปัญหาให้กับผู้ป่วยแบบอัตโนมัติด้วย  ยกตัวอย่างเช่น ระบบติดตามทางการแพทย์ด้วย AI ที่จะช่วยสังเกตพฤติกรรมของผู้ป่วยว่ามีการปฏิบัติตาม คำแนะนำของแพทย์หรือไม่  โดยใช้ระบบจดจำใบหน้าขั้นสูงและซอฟต์แวร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว  ถือเป็น การริเริ่มนำความเป็นอัตโนมัติเข้าไปสู่ขั้นตอนสำคัญของการรักษาซึ่งก็คือ “การบำบัดด้วยการสังเกตการณ์โดยตรง” (DOT) นั่นเอง คาดการณ์ว่าผู้ประกอบการหน้าใหม่ๆ ซึ่งเข้าสู่ตลาดด้วยแนวทางที่คล้ายกันนี้ จะสามารถกุมส่วนตลาดย่อยนี้ได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อไม่นานมานี้บริษัท Truven Health Analytics ถูกซื้อกิจการโดย IBM Watson Health ด้วยมูลค่า 2.6 พันล้านเหรียญ ได้สร้างมิติใหม่ที่สำคัญให้แก่วงการในเชิงการวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพ  ถือเป็นการตอกย้ำความแข็งแกร่งของ IBM ที่เดิมก็นับว่าเป็นสายแข็งในตลาดสุขภาพอยู่แล้วให้มากขึ้นไปอีก

2. ภูมิคุ้มกันบำบัด กำลังเติบโตที่อัตราสูงถึง 139%

ThinkstockPhotos-466332001

Frost & Sullivan

"ภูมิคุ้มกันบำบัด" เอื้อประโยชน์ในการรักษาโดยมุ่งเน้นไปที่ความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันในการรับมือกับมะเร็ง  ทั้งยังมีศักยภาพที่จะพลิกโฉมการรักษาโรคมะเร็งได้ด้วย  มันช่วยสร้างมิติใหม่ทั้งในแง่ของการ ยืดอายุผู้ป่วยรายคนให้ยาวนานขึ้นและการช่วยเหลือผู้ป่วยได้เป็นจำนวนมาก  ยกตัวอย่างเช่น โรคมะเร็งไฝ ที่ถือเป็นความต้องการสำคัญทางการแพทย์ซึ่งยังไม่ได้รับการตอบสนองแถมมีทางเลือกในการรักษาที่จำกัด  ในแต่ละปีมีการตรวจพบผู้ป่วยมะเร็งไฝมากกว่า 160,000 รายทั่วโลก และมียอดผู้เสียชีวิตรายปีสูงถึง 40,000 ราย

ความหวังของวิธีรักษาแบบภูมิคุ้มกันบำบัดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของมันเมื่อถูกนำไปใช้กับผู้ป่วยในวงกว้าง เมื่ออัลกอริทึมที่มีประสิทธิภาพในเชิงมะเร็งวิทยาเป็นที่ตระหนัก  ศักยภาพของมันจะเพิ่มขึ้นแบบ ทวีคูณ  ขณะที่ตัวยับยั้งการทำงานที่จุดตรวจจับครองตำแหน่งประเด็นสนทนายอดนิยมในแวดวงการแพทย์  วิธีการรักษาอื่นๆ ที่ดูมีความหวังได้แก่ การปลูกสร้างแบบใหม่ระดับโมเลกุล เช่น การดัดแปลงโมเลกุลรับสัญญาณให้เป็นแบบลูกผสม (CARs), การผสมผสานวิทยาการรักษาด้วยยาเก่าและใหม่, ตลอดจนการ ปรับเกณฑ์การให้ยาและวัคซีน  ตลาดของตัวยับยั้งการทำงานที่จุดตรวจจับมีมูลค่า 3 พันล้านเหรียญในปี 2015 และคาดว่าจะแตะ 21.1 พันล้านเหรียญภายในปี 2020  กล่าวได้ว่ามีอัตรการเติบโตสูงถึง 139%

3. การตรวจพิสูจน์ของเหลว : ศักยภาพในการจับตาดูมะเร็งแบบไม่รุกรานร่างกาย

ThinkstockPhotos-477900976

Frost & Sullivan

การตรวจพิสูจน์ของเหลว (Liquid Biopsy) สามารถสกัดเซลล์มะเร็งออกจากตัวอย่างเลือดธรรมดาๆ ได้  และมีศักยภาพ ที่จะปฏิวัติการรักษาโดยการติดตามดูเซลล์มะเร็งแบบไม่รุกรานร่างกาย  ปัจจุบันการตรวจชิ้นเนื้อซ้ำหลายๆ รอบคือสิ่งจำเป็นในการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของเนื้อร้าย  และนับเป็นความท้าทายอย่างมากต่อร่างกาย ของผู้ป่วย  การตรวจพิสูจน์ของเหลวสร้างโอกาสที่แสนหอมหวานในการลงทุนให้กับธุรกิจซึ่งเกี่ยวข้องกับ การวินิจฉัยโรค  โดยการมุ่งเน้นไปที่ตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ เช่น ดีเอ็นเอและเซลล์มะเร็ง  ได้เปิดโลกใหม่ที่ทำให้ การติดตามเฝ้าดูเนื้อร้ายกลายเป็นเรื่องที่ไม่รุนแรงกับร่างกายอีกต่อไป  คาดกันว่าภายในเวลาประมาณ 2 ปี  การตรวจพิสูจน์ของเหลวจะกลายมาเป็นส่วนเสริมที่สำคัญให้กับการตรวจพิสูจน์เนื้อเยื่อ  เทคโนโลยีนี้ได้รับ การพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพกว่ามาก  และสามารถตรวจจับอาการทรุดของโรคได้ก่อนการทำซีทีสแกน เสียอีก  หัวใจของมันคือการที่แพทย์สามารถตรวจมะเร็งได้โดยไม่ต้อง “เข้าถึงตัวมะเร็ง” ซึ่งตรงนี้เองคือ จุดสำคัญที่ต่างจากการตรวจพิสูจน์เนื้อเยื่อ

4. ยีนดัดแปลง CRISPR/Cas9 : วิธีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์แบบเดิมๆ จะต้องหยุดชะงัก

Screen Shot 2560-03-31 at 11.18.25 AM

CRISPR/Cas9 คือเทคนิคการตัดต่อยีนซึ่งสามารถแก้ไขความบกพร่องต่างๆ ได้อย่างแม่นยำตรงจุดใน ระดับดีเอ็นเอ  แถมยังวางใจได้และมีประสิทธิภาพในเชิงราคาด้วย  ในระยะเวลาสั้นๆ มันได้เข้ามากุม ความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการวิจัยและพัฒนาวิทยาการ  รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งเกี่ยวเนื่อง กับวิทยาศาสตร์ชีวภาพในส่วนตลาดที่สำคัญทั่วโลก  เทคนิคนี้ถูกปล่อยออกมาในวงการวิจัยครั้งแรกในปี 2014  และหลายองค์กรต่างแห่กันนำมันมาใช้เพื่อผลิตเครื่องมือวิจัยและพัฒนาการรักษาโรค Sangamo Biosciences คือบริษัทที่นำหนึ่งในเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้สร้างผลงานมากที่สุด  อย่างเช่นการใช้นิวเคลียส วิศวกรรม Zinc Finger Nucleases เพื่อพัฒนาวิธีการรักษาโรคที่ถึงขั้นนำมาใช้กับมนุษย์ได้ ส่วนบริษัทอื่นๆ อย่างเช่น startup น้องใหม่ CRISPR Therapeutics และ Editas Medicine โฟกัสไปที่ CRISPR และได้รับเงินระดมทุนหลายล้านเหรียญ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การดัดแปลงยีนเพื่อนำมาใช้รักษาโรคในมนุษย์จะแย่งไฟบนเวทีไปครองได้สำเร็จ

แต่ในวงการอื่นๆ อันได้แก่ เกษตรกรรมและสารเคมีพิเศษ  ซึ่งเทคโนโลยีได้พัฒนาไปไกลกว่าผลวิจัยที่มีอยู่ ในท้องตลาดแล้ว  การตัดแต่งยีนมอบโอกาสให้พวกเขาสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้

  • ปรับคุณสมบัติที่สำคัญของพืชไร่และสัตว์
  • เพิ่มผลผลิตและคุณค่าเชิงสารอาหารของพืช
  • สร้างพันธุ์พืชไร่ที่ทนต่อโรค แมลงศัตรูพืช หรือความสุดขั้วของสภาพอากาศ
  • เพิ่มความทนทานของสายพันธุ์สัตว์เลี้ยงในฟาร์ม ให้สามารถทนต่อโรค และมีคุณสมบัติด้านสารอาหารที่ดีขึ้น

   บทวิเคราะห์จากโครงการที่ได้รับการสนับสนุนเงินทุนโดยสถาบันสุขภาพแห่งชาติมีการกล่าวถึง CRISPR/Cas9 ตั้งแต่ปี 2013 มาจนถึงปี 2015 ว่าเทคโนโลยีการตัดต่อยีนดังกล่าวนี้มีอัตราการเติบโต อย่างมหาศาล  ตั้งแต่ปี 2013 ถึงปี 2014 มูลค่าเงินลงทุนเพิ่มสูงขึ้นถึง 7 เท่า  และจากปี 2014 ถึง 2015 มูลค่าเงินลงทุนเพิ่มขึ้นอีกมากกว่า 3 เท่า  ผู้ใช้สุดท้ายที่นำ CRISPR/Cas9 มาใช้ไม่ได้มีเพียงแค่นักวิจัย สายวิชาการเท่านั้นเนื่องจากมันส่งผลสำคัญต่อวิทยาการรักษาโรคด้วย  เทคโนโลยีนี้เอาชนะความท้าทาย หลายอย่างโดยใช้ RNAi, TALENs และ ZFN เป็นเครื่องมือตัดต่อจีโนม  และดูมีความเป็นไปได้มากที่ มูลค่าของมันในตลาดจะไต่ขึ้นสูงถึงหลายร้อยล้านเหรียญภายในไม่กี่ปีข้างหน้า

5. เทคนิคการพิมพ์ 3 มิติ : ตัวพลิกเกมแห่งการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและอวัยวะ

Value-Prop_Liver_Caption3

ภาพจาก stratasys.com

   เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติมีศักยภาพมากในวงการสุขภาพเพราะคุณสมบัติที่สามารถปรับให้เหมาะสมกับ ตัวบุคคลได้ของมัน  การพิมพ์ 3 มิติที่สามารถปรับให้เหมาะสมกับบุคคลได้จะช่วยลดเวลาในการผ่าตัดและ ค่าใช้จ่ายในการรักษาลงอย่างฮวบฮาบ ในปัจจุบัน..เทคนิคการพิมพ์ 3 มิติถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางที่สุด ในการพิมพ์โครงเลี้ยงเซลล์, กระดูกเทียม (สำหรับการผ่าตัดใส่กระดูกเทียม), และเครื่องมือทางการแพทย์ อย่างเช่น ฟันปลอม หรือเครื่องช่วยฟัง  ส่วนตัวพลิกเกมในวงการการพิมพ์ 3 มิติในอนาคตน่าจะเป็นการ พิมพ์เนื้อเยื่อมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์ตับ หัวใจ หู มือ ตา หรือการสร้างหน่วยเนื้อเยื่อที่เล็กที่สุดที่สามารถ เติบโตและทำงานได้  ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างเนื้อเยื่อหรืออวัยวะขนาดใหญ่ต่อไป  สิ่งเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ใน การผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะเพื่อซ่อมแซมหรือเปลี่ยนแทนเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่เสียหาย

   ทั่วโลกมีผู้ป่วยกว่าล้านคนโดยประมาณที่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนไต  อย่างไรก็ตาม..มีผู้ที่ได้รับ การผ่าตัดจริงๆ เพียงแค่กว่า 5,000 คนเท่านั้น  เนื่องจากจำนวนของผู้บริจาคอวัยวะมีไม่เพียงพอ นอกจากนี้ ความขาดแคลนอวัยวะที่ผ่านการบริจาคอย่างถูกกฎหมายยังทำให้การลักลอบขายอวัยวะแบบผิดกฎหมาย ทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจด้วย  ธุรกิจการพิมพ์ 3 มิติเพื่อการแพทย์ถูกคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 6 พันล้านเหรียญภายในปี 2025  บริษัทที่เป็นผู้นำในแวดวงนี้ ได้แก่ Stratasys Ltd., Arcam AB, Organovo Holdings Inc., Johnson & Johnson Services Inc. และ Stryker

 

   บทความนี้เขียนขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนจากคุณ Nitin Naik รองประธานระดับโลกสาขาวิทยาศาสตร์ ชีวภาพ, คุณ Christi Bird นักวิเคราะห์ระดับสูงของวงการ, คุณ Divyaa Ravishankar นักวิเคราะห์ระดับสูง ของวงการ, และคุณ Venkat Rajan ประธานระดับโลกของฝ่ายวิสัยทัศน์การแพทย์ประจำโปรแกรมพัฒนา สุขภาพของ Frost & Sullivan

 

ที่มา forbes.com

 

คุณสามารถติดตามบางส่วนของเทคโนโลยีล้ำๆ เหล่านี้ได้ ในงาน Techsauce Global Summit ลงทะเบียนจองตั๋วล่วงหน้า รับราคาพิเศษกว่า รายละเอียดเพิ่มเติม: summit.techsauce.co LOGO_linear trans orange small

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

เปิดกลยุทธ์ธุรกิจยุคใหม่ พลิกข้อมูล สู่ขุมทรัพย์ด้วย analyticX ด้วยพลัง Telco Data Insights และ GenAI

ยุคนี้ใคร ๆ ก็พูดถึง Data แต่จะใช้ Data อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่างหากคือกุญแจสำคัญ! ในสัมมนาสุดเอ็กซ์คลูซีฟ "Unlocking Data-Driven Decisions with Telecom Data Insights" ที่จั...

Responsive image

‘UOB Sustainability Compass’ เครื่องมือออนไลน์ด้านความยั่งยืน หนุน SMEs เปลี่ยน Vision เป็น Action

บทสัมภาษณ์ คุณอัมพร ทรัพย์จินดาวงศ์ และคุณพณิตตรา เวชชาชีวะ เกี่ยวกับ ‘UOB Sustainability Compass’ เครื่องมือออนไลน์ที่เข้ามาช่วย SMEs เริ่มดำเนินการด้านความยั่งยืนอย่างเข้าใจและไม...

Responsive image

Intel พลาดอะไรไป ? ทำไมถึงต้องเปลี่ยน CEO กะทันหัน ? ถอดบทเรียนราคาแพงจากยุค Pat Gensinger

การ ‘เกษียณ’ อย่างกะทันหันของ Pat Gelsinger อดีตซีอีโอ Intel ในต้นเดือนธันวาคม สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการเทคโนโลยี หลายฝ่ายมองว่าเป็นการบีบให้ออกจากบอร์ดบริหาร อันเนื่องมาจากผล...