4 ปีก่อน เป็นช่วงที่กระแส เมตาเวิร์ส (Metaverse) มาแรงมากถึงมากที่สุด จนกลายเป็น Buzzword ที่พูดถึงกันทั่วโลก และ Deloitte ยังคาดการณ์ไว้ว่า Metaverse อาจส่งผลกระทบต่อ GDP ทั่วเอเชียมากราวปีละ 0.8 - 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2035
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยี AI โดยเฉพาะ Generative AI ได้ขึ้นแท่นเป็นเทคโนโลยีมาแรง เพราะมีการนำไปใช้จริงในหลากหลายอุตสาหกรรมและสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
ในปี 2025 ที่กำลังจะมาถึงนี้ จึงน่าสนใจว่า บริษัทที่ยังคงมุ่งมั่นพัฒนา Metaverse เล็งเห็นว่า Metaverse จะยังมีโอกาสเติบโตได้หรือไม่ และจะสามารถสร้างรายได้ทางธุรกิจอย่างไรในโลกที่ AI กำลังมีบทบาทสำคัญในหลายมิติ จากการสนทนากับ คุณพิมสาย ชี้เจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Translucia (ทรานส์ลูเซีย) แพลตฟอร์มเมตาเวิร์สที่เปิดพื้นที่ให้ธุรกิจ แบรนด์ นักพัฒนา และครีเอเตอร์ เข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์ผลงาน สินค้าและบริการให้แก่ผู้ใช้งาน ผ่านประสบการณ์โลกเสมือนที่ล้ำสมัย และค้นหาโอกาสใหม่ ๆ ได้อีกมาก
“เมตาเวิร์สไม่ใช่แค่กระแส แต่คือวิวัฒนาการของการเชื่อมต่อและสร้างประสบการณ์ในโลกดิจิทัลที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในอนาคต วันนี้ผู้คนอาจมอง Metaverse เป็นพื้นที่ทดลองสำหรับเกมหรือความบันเทิง แต่ในความเป็นจริง มันมีศักยภาพมากกว่านั้น Metaverse กำลังสร้างรากฐานสำหรับเศรษฐกิจใหม่ ที่ธุรกิจ แบรนด์ และผู้บริโภค สามารถสร้างปฏิสัมพันธ์และมูลค่าเพิ่มได้ในรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน” คุณพิมสายเปิดประเด็น
หากนำ AI กับ Metaverse สองเทคโนโลยีสําคัญมาวิเคราะห์ ซีอีโอ Translucia กล่าวถึง AI และ Metaverse ว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอนาคตของการดำรงอยู่ในโลกดิจิทัล (Digital Existence) โดย Metaverse เป็นวิวัฒนาการของสื่อกลางดิจิทัล (Digital Medium) ที่ประกอบด้วยหลายเทคโนโลยี อาทิ 3D Animation, Virtual Reality, Augmented Reality, Mixed Reality ซึ่งทําให้การสื่อสารและการมีปฏิสัมพันธ์มีมิติที่ลึกซึ้งและหลากหลายยิ่งขึ้น ยิ่งเมื่อผสานเข้ากับ AI ที่ทำหน้าที่เป็นสมองอัจฉริยะ ก็จะยิ่งช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ที่มีความหมายและตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Metaverse ต่างจาก AI ตรงที่ AI เป็นเทคโนโลยีหนึ่งซึ่งมีหน้าที่เฉพาะเจาะจง แต่ Metaverse มันคือ Experience (ประสบการณ์) รูปแบบหนึ่ง ซึ่งผู้คนสามารถเข้ามามีปฏิสัมพันธ์ ทำงาน และเล่นได้ เปรียบเสมือนจักรวาลออนไลน์ที่กว้างใหญ่และเชื่อมโยงถึงกัน ซึ่ง Experience รูปแบบนี้ ข้างในจะประกอบด้วยเทคโนโลยีหลายส่วน (Components)
"เช่น 3D Animation (การสร้างแอนิเมชันสามมิติ), Virtual Creation (การสร้างสรรค์สิ่งเสมือนจริง), Gamification (การนำเทคโนโลยีมาสร้างการมีส่วนร่วมผ่านเกม) ที่ช่วยเพิ่มมิติและความสนุกให้กับผู้ใช้งาน รวมถึงการใช้งานเทคโนโลยี Cloud Rendering (การแสดงผลบนคลาวด์) เพื่อให้การเข้าถึง Metaverse เป็นไปได้อย่างราบรื่น ทุกที่ ทุกเวลา
“ส่วน AI ก็เข้ามาเป็นอีกองค์ประกอบที่ช่วยเสริมศักยภาพและความสามสามารถให้กับประสบการณ์บน Metaverse ไม่ว่าจะเป็นการสร้างตัวละครเสมือนจริงที่ฉลาดขึ้น การปรับแต่งเนื้อหาตามความสนใจของผู้ใช้งาน หรือการเพิ่มความลื่นไหลให้กับการโต้ตอบในโลกเสมือน” คุณพิมสายอธิบาย
ถามถึงมุมมองที่มีต่อ Metaverse ในอดีต คุณพิมสายกล่าวว่า Metaverse เคยเป็น Buzzword (คำศัพท์ยอดฮิต) เพราะ Metaverse เป็นแนวคิดเกี่ยวกับเทคโนโลยีในอนาคตที่ผสมผสานเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อสร้างโลกเสมือนที่ผู้คนสามารถปฏิสัมพันธ์กันได้ จึงไม่แปลกที่ทุกคนจะตื่นเต้นกับแนวคิดนี้ เพราะมันเปิดโอกาสให้จินตนาการถึงการไปมีส่วนร่วมในโลกดิจิทัลรูปแบบใหม่
ช่วงเริ่มต้น Metaverse มีการพูดถึงเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งกลายเป็นสารตั้งต้นให้มีการใช้ Cryptocurrency, NFT ในโลกเสมือน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนเริ่มตั้งคำถามถึงการใช้งานจริง โดยเฉพาะหลังผ่านสถานการณ์โควิด Metaverse จะสร้างประโยชน์ให้มนุษย์ในโลกจริงและโลกดิจิทัลได้อย่างไร?
"แน่นอนว่า Metaverse ยังคงมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และในมุมมองของเรา มันไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงเชิงเทคโนโลยี แต่ยังถือเป็น วิวัฒนาการของสื่อกลางดิจิทัล (Digital Medium) ที่ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคในอนาคต โดยเฉพาะในด้านการสร้างปฏิสัมพันธ์และการเสพเนื้อหาบนโลกดิจิทัลในรูปแบบใหม่ ทั้งนี้ผลกระทบดังกล่าวยังมีแนวโน้มขยายตัวไปสู่ภาคธุรกิจต่าง ๆ อีกด้วย"
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการเปลี่ยนแปลงจากการใช้เกมเพื่อความบันเทิงเพียงอย่างเดียว ไปสู่การเป็น ‘พื้นที่ทางเลือก’ (Third Place) ที่หลอมรวมกิจกรรมทางสังคมและการพักผ่อนเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นการปรับตัวของผู้บริโภครุ่นใหม่ที่มองหาแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ทั้งความสนุกสนานและการสร้างสัมพันธภาพอันดี
“เรามองเห็นโอกาสสำคัญใน Metaverse ที่จะขยายการใช้งานไปสู่มิติอื่น ๆ ที่หลากหลายในชีวิตประจำวัน เช่น การทำงาน ความบันเทิง สุขภาพ และธุรกิจ เพื่อสร้างคุณค่าเพิ่มเติมให้แก่ผู้ใช้งานในหลายด้าน สิ่งที่สำคัญคือ ความก้าวหน้าและความรวดเร็วของเทคโนโลยี เช่น AI และ เทคโนโลยีเชิงประสบการณ์ (Immersive Technologies) ซึ่งช่วยลดข้อจำกัดด้านต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการพัฒนาแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์การใช้งานได้จริง ทำให้ Metaverse กลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้างปฏิสัมพันธ์และผลักดันธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน”
คุณพิมสายฉายภาพอนาคตแล้วต่อด้วยการเล่าถึงการทำงานร่วมกับพันธมิตรระดับโลกในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อสร้างระบบที่ก้าวล้ำ, การใช้ความคิดสร้างสรรค์ ในการออกแบบประสบการณ์ที่มีความหมาย, และ การศึกษาด้านสังคมและจิตวิทยา เพื่อทำความเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของผู้ใช้งานและ Explore ความเป็นไปได้ใหม่ ๆ บนแพลตฟอร์มนี้ พร้อมเผยถึงความท้าทายหลักของ Translucia ต่อการพัฒนาโลกเสมือนว่ามีอยู่ 2 ด้าน
การขยายการใช้งาน Metaverse ไปสู่ด้านอื่น ๆ ในชีวิตประจำวันของผู้คน
เพื่อมุ่งเน้นให้ Metaverse เป็นมากกว่าพื้นที่สำหรับความบันเทิง ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์มที่สามารถตอบโจทย์วิถีชีวิตในหลายมิติ เช่น การทำงาน, การศึกษา, สุขภาพ และการชอปปิง โดยการสร้าง ประสบการณ์ที่ปรับให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล (Personalized Experiences) เพื่อเชื่อมโยงโลกเสมือนกับความต้องการจริงของผู้ใช้งาน
การพัฒนา Tech Enablers เพื่อประสบการณ์ที่ราบรื่น
Translucia ทุ่มเทให้กับการพัฒนา ‘เทคโนโลยีสนับสนุน’ ที่สามารถยกระดับการใช้งาน Metaverse ให้ลื่นไหลและเป็นธรรมชาติต่อผู้ใช้งานมากที่สุด ตั้งแต่การผสาน AI เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ ไปจนถึงการเพิ่มความสามารถของอุปกรณ์และเครื่องมือ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานในหลากหลายบริบท
ในฐานะซีอีโอแพลตฟอร์ม Translucia คุณพิมสายกล่าวถึงการทำให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์จาก Digital World กับ Real world ได้อย่างราบลื่น ว่าจะใช้ AI เป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาแพลตฟอร์มในระยะยาว เพื่อผลักดันให้ Translucia ก้าวสู่การเป็นแพลตฟอร์มที่สรรค์สร้างประสบการณ์โลกเสมือนอย่างไร้ขีดจำกัด ไม่ว่าจะเป็นการสร้างตัวตนดิจิทัล การสร้างมนุษย์เสมือนที่โต้ตอบผู้ใช้งานได้อย่างชาญฉลาด ด้วยการใช้เครื่องมือที่ทีม Translucia พัฒนาขึ้น อาทิ
3D Creation Tools สำหรับการสร้างสรรค์และออกแบบผลงานในโลกดิจิทัลที่สมจริงและไร้ข้อจำกัด
Virtual Humans หรือ Companions (NPCs) ที่มีความสมจริงทั้งในรูปลักษณ์และบุคลิกภาพ เพื่อใช้สร้างตัวตนดิจิทัลที่สามารถโต้ตอบและพัฒนาความสัมพันธ์ร่วมกับผู้ใช้งานได้เสมือนมนุษย์
AI Interactive ระบบที่สามารถเข้าใจความต้องการ ตอบสนอง และแนะนำผู้ใช้งานได้อย่างแม่นยำ พร้อมสร้างการโต้ตอบที่เป็นธรรมชาติในทุกมิติ
และท่ามกลางเทคโนโลยีที่หลายภาคส่วนเร่งพัฒนาให้มีศักยภาพมากขึ้น ฉลาดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยี AI ทาง Translucia ก็พร้อมนำมาประยุกต์ใช้ ด้วยเป้าหมายในการ สร้างคุณค่าใหม่ให้กับความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนและเทคโนโลยี โดยมุ่งเน้นการผสานความสามารถของ AI เข้ากับความเข้าใจในอารมณ์ ความรู้สึก และพฤติกรรมของมนุษย์แต่จะไม่เน้นให้คนใช้งานแบบพึ่งพาหรือขึ้นอยู่กับ AI เพียงอย่างเดียว
“อย่างรูปแบบของการนํา AI มาใช้บนแพลตฟอร์ม Translucia เราก็จะออกแบบมันออกมาให้เป็นการแนะนํา ช่วยชี้แนะ แล้วก็ช่วยในด้านกระบวนการทางความคิด หรือเรื่อง Emotional (เกี่ยวกับอารมณ์) ในการเช็กความรู้สึกตัวเอง มากกว่าที่จะดีไซน์ออกมาในแนวทางที่เราต้องพึ่งพาหรือเชื่อใจ AI ในการทํางานหรือการดํารงชีวิต เพราะเทคโนโลยีมันมีอยู่ แล้วมันก็จะพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ แต่การที่เราจะนํามันมาดีไซน์แล้วก็ออกมาใช้ในรูปแบบที่มีปฏิสัมพันธ์กับคน มีความเป็นมนุษย์อยู่เยอะ ก็ต้องคำนึงถึงประโยชน์รอบด้านในระยะยาวด้วย”
ในด้านเป้าหมายทางธุรกิจ คุณพิมสายเปิดเผยว่า ในปี 2025 Translucia จะนํา AI มาใช้อำนวยความสะดวกในสายงานที่โต้ตอบหรือประสานกับคนมาขึ้น เช่นด้าน Customer Service ที่ต้องใช้เพื่อโต้ตอบข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ โดยจะนำ AI มาพัฒนาให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งช่วยลดความซับซ้อนและสิ่งที่ไม่จำเป็นในกระบวนการต่าง ๆ นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งมั่นที่จะฝึก AI ให้มี EQ หรือ ความฉลาดทางอารมณ์ เพื่อให้ AI สามารถเข้าใจความหมายเชิงลึกของข้อความหรืออารมณ์ (Emotion) จากผู้ใช้งาน และตอบสนองได้อย่างเหมาะสม ตรงใจ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารในลักษณะใดก็ตาม
Translucia ทำตลาดทั้ง ฝั่งธุรกิจ หรือ B2B (Business-to-Business) และ ฝั่งผู้บริโภค หรือ B2C (Business-to-Customer) โดยในปี 2025 Translucia คุณพิมสายเปิดเผยว่า บริษัทมุ่งเน้นการขยายฐานการใช้งาน AI ให้มีความหลากหลายมากขึ้น ด้วยการประยุกต์ใช้ AI แบบเจาะลึกโดยเฉพาะในส่วนของภาคธุรกิจ (B2B) เพื่อสร้าง Use Cases ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของแต่ละภาคอุตสาหกรรม พร้อมกับพัฒนา AI ให้มีฐานข้อมูลที่กว้างขวางและมีความเข้าใจเชิงลึกต่อการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า โดยมีแนวทางการดำเนินงานในปีหน้ากับภาคธุรกิจ ดังนี้
มุ่งขยายฐานข้อมูลกับภาคธุรกิจ โดยการนำข้อมูลจากการทำงานจริงในแต่ละธุรกิจมาเทรน AI เพื่อให้ AI สามารถเรียนรู้พฤติกรรมลูกค้า ความต้องการเฉพาะเจาะจง และรูปแบบการทำงานของธุรกิจต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มุ่งสร้าง Use Cases ที่หลากหลาย โดย Translucia จะทำงานร่วมกับภาคธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ เพื่อนำ AI ไปสร้าง Use Cases ใหม่ ๆ ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างคุณค่าให้กับการทำงาน เช่น การปรับใช้ AI Customer Interaction สำหรับอุตสาหกรรมการบริการ เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้า การพัฒนา AI Virtual Assistants ในภาคสุขภาพ เพื่อตอบคำถามหรือให้ข้อมูลแนะนำผู้ป่วยเบื้องต้น
มุ่งเพิ่มความเข้าใจเชิงลึก (Deep Interaction) โดย AI จะถูกฝึกให้เรียนรู้วิธี Interacting กับลูกค้าอย่างเหมาะสมตามบริบทของแต่ละธุรกิจ ทั้งในแง่ของภาษาที่ใช้, รูปแบบการสื่อสาร และความต้องการเฉพาะ
สำหรับแผนการดำเนินงานในฝั่งผู้บริโภค Translucia มุ่งเน้นการใช้ AI เพื่อตอบโจทย์ตลาดผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับการปฏิสัมพันธ์บนแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นอย่างดี ด้วยการนำเสนอ AI Companion หรือ AI คู่คิด ที่มีคุณสมบัติเด่น คือ
รับฟังและเรียนรู้: AI จะเรียนรู้จากข้อมูลและประสบการณ์ของผู้ใช้งานที่ป้อนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ตอบสนองความต้องการได้ตรงจุด: AI จะสามารถปรับตัวและตอบสนองต่ออารมณ์ และความต้องการของผู้ใช้งานในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงาน การผ่อนคลาย หรือการสร้างแรงบันดาลใจ
สร้างประสบการณ์ที่ใกล้ชิดและเป็นส่วนตัว: ผู้ใช้งานจะรู้สึกเสมือนมี 'คู่คิดดิจิทัล' ที่เข้าใจและพร้อมสนับสนุนในทุกสถานการณ์
“นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้าง Translucia Virtual World ขึ้นมา จากการนำเทคโนโลยีเบื้องหลัง Metaverse มาพัฒนาเป็นเครื่องมือสำหรับสร้างสรรค์ผลงาน และส่งเสริมประสบการณ์แบบใหม่ที่เสริมศักยภาพเข้ากับ AI ของเรา ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานที่เป็นครีเอเตอร์และธุรกิจ สามารถนำไปปรับใช้ในระยะนี้ได้
"แล้วที่มากกว่านั้น เราอยากจะใช้เทคโนโลยีสร้างบางอย่างที่มันปลอดภัย ทำให้เกิดผลกระทบในเชิงบวก และ Encourage (สนับสนุน) ให้คนทำบางอย่างที่ Meaningful (มีความหมาย) แล้วก็อยากจะสร้างสรรค์ผลงานดี ๆ มาแชร์กับคนอื่น ๆ ในสเปซได้ ขณะเดียวกัน คนที่เข้ามาก็จะเจอคอมมูนิตี้ที่เกื้อกูลแล้วก็สร้างสรรค์ มีกิจกรรมให้ทํา ไว้วางใจได้ ส่วนแบรนด์ที่เข้ามาสร้างการปฏิสัมพันธ์ ในนี้ก็จะต้องเป็นแบรนด์ที่มีพันธกิจในเรื่องของการสร้างผลกระทบเชิงบวกให้สังคม”
หากพิจารณาในมุมการใช้ประโยชน์จาก Translucia คุณพิมสายบอกว่า โซลูชันบน Translucia เหมาะกับธุรกิจที่มีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าโดยตรง ธุรกิจที่ต้องการยกระดับความสัมพันธ์กับลูกค้า หรือธุรกิจที่ต้องการให้ดิจิทัลทำงานแทนมนุษย์ ทั้งยังสามารถใช้ได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมบันเทิง อุตสาหกรรมการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค
ยกตัวอย่าง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่นำแพลตฟอร์มเมตาเวิร์สมาทํา Digital Twin (เทคโนโลยีฝาแฝดเสมือน) ทําให้ผู้เข้าใช้งานเห็นบรรยากาศจริงในหลากหลายมิติ และสามารถ Interact กับสถานที่จริงได้
ธุรกิจบันเทิงก็สามารถใช้เทคต่าง ๆ บน Translucia ได้ เช่นนำเทคโนโลยี Immersive, 3D มาสร้าง Virtual Human (มนุษย์เสมือน) แล้วเทรน AI เพื่อพัฒนาความสามารถจนเป็น Virtual Influencer (อินฟลูเอนเซอร์เสมือน) ได้
มาที่ฝั่งพาร์ตเนอร์และลูกค้า คุณพิมสายเปิดเผยว่า กำลังพูดคุยกับพาร์ตเนอร์และแบรนด์ที่อยู่ในอุตสาหกรรมอื่น และในปีหน้าจะขยายตลาด B2B ที่เป็น Client-Based (ฐานลูกค้า) ให้มากขึ้น
"ปีหน้าเราจะทำงานร่วมกับ Business Client มากขึ้น เพื่อดูว่าภาคธุรกิจต้องการอะไร เช่น อยากให้คนมีปฏิสัมพันธ์กับคอนเทนต์ดียิ่งขึ้น มีความพึงพอใจมากขึ้น ตอบสนองกับการเสนอผลิตภัณฑ์ดียิ่งขึ้น หรืออยากให้ทำ AI Agent (ผู้ช่วย AI ที่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้อัตโนมัติ) เพื่อให้บริการลูกค้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นโชว์เคสได้เมื่อเวลาผ่านไป
โดยในปี 2024-2025 เป็นปีแห่งการลงทุนและพัฒนา Translucia ซึ่งเราตั้งเป้าว่า ปี 2025 จะเพิ่มโชว์เคสอีกเท่าตัวเพื่อทำให้แพลตฟอร์มมีพลวัตมากขึ้น มีฐานผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น ส่วนในเรื่องการสร้างรายได้ ขณะนี้ธุรกิจยังอยู่ใน Early Stage (ระยะเริ่มต้น) แต่จะได้เห็นสิ่งต่าง ๆ เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น และจะสามารถสร้างการเติบโตด้านรายได้อย่างจริงจังในปี 2026-2027
Translucia จึงไม่เพียงมอบเทคโนโลยี แต่ยังช่วยให้ภาคธุรกิจเชื่อมโยงกับลูกค้าในมิติที่ลึกซึ้งกว่าเดิม ผ่านประสบการณ์ที่สมจริงและมีความหมาย ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจได้ในระยะยาว
อัตราการขยายตัวด้านการใช้งานเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นแบบติดจรวด มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดคอมมูนิตีรูปแบบใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และส่งผลกระทบต่อการให้คุณค่าและมูลค่าในมุมที่ต่างกันไป
โดยมุมที่ Translucia ให้ความสำคัญและเป็นสิ่งที่แตกต่างจากแพลตฟอร์มอื่น ๆ คือ เน้นการนําเทคโนโลยีมาใช้เพื่อทําให้ผู้คนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ไม่ใช่การนำเทคโนโลยีมาใช้แล้วทำให้ผู้ใช้งานเกิด Addiction (การเสพติด) การใช้เทคโนโลยีซึ่งส่งผลต่อกระบวนการคิดและพึ่งพาอาศัยมันมากเกินไป
“แม้กระทั่งการทําแพลตฟอร์ม เราก็คํานึงถึงการออกแบบ Use Case คนจะไม่จ้องเฉพาะหน้าจอมือถือ แต่สามารถออกมาทํากิจกรรม หรือ Initiate (ริเริ่ม) ดึงให้คนออกไปทําอะไรที่ Interact กับโลกจริง กับคนจริง ๆ และสร้างเพื่อนจริง ๆ ได้
"เพราะ Translucia เน้นปรัชญาในการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาเพิ่มคุณภาพชีวิต แล้วก็เปิดโอกาสให้คนเข้ามา Co-create (ร่วมสร้าง) ไม่ใช่ว่า เราต้องทําแล้วคนต้องมาใช้ของเราเท่านั้น” คุณพิมสายกล่าวทิ้งท้าย
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด