
ในบรรยากาศที่ความท้าทายทางเศรษฐกิจกลายเป็นบทสนทนาประจำวันของผู้ประกอบการ ตั้งแต่ SME ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ คำถามสำคัญไม่ใช่แค่ เราจะรอดได้อย่างไร? แต่คือ ‘เราจะเติบโตท่ามกลางพายุลูกนี้ได้อย่างไร?’ เวทีเสวนา Turning Tough Times into Growth ภายในงาน Krungsri Tech Day 2025 ได้มอบแนวทางที่ช่วยจุดประกายความคิดแก่ผู้ที่ทำธุรกิจ ผ่านมุมมองของผู้บริหารจาก 3 บริษัท

ท่ามกลางความรู้สึกซบเซาที่หลายคนสัมผัสได้ คุณเจษฎา สุขทิศ CEO และ Co-Founder แห่ง Finnomena Group ได้เปิดประเด็นด้วยมุมมองที่พลิกความคาดหมายของทุกคนในห้องเสวนา เขาเชื่อว่าจุดที่ต่ำที่สุดอาจผ่านพ้นไปแล้ว และสัญญาณของการฟื้นตัวกำลังปรากฏชัดขึ้น
"ผมเชื่ออย่างนี้นะว่า เชื่อไหมครับ มันไม่มีอะไรในโลกที่มันลงอย่างเดียวตลอดไป... ถ้ามองกันในวันนี้เนี่ย ผมกลับมองว่า มันกำลังดูดีขึ้น" คุณเจษฎากล่าว เขาวิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจไทยที่เติบโตในระดับต่ำมานาน กำลังจะได้รับอานิสงส์จากปัจจัยภายนอกที่คาดไม่ถึง นั่นคือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งส่งผลให้เกิดการย้ายฐานการผลิตครั้งใหญ่
"เขาตั้งภาษีกับจีน 50% ผู้ที่จะได้รับประโยชน์มี 2 ประเทศใหญ่ ประเทศหนึ่งคือเวียดนาม แล้วก็อินเดีย แต่ว่า อินเดียโดน 50% เท่ากับจีน แล้วคิดว่าเวียดนามประเทศเดียวเนี่ยจะสามารถที่จะผลิตแทนจีนได้หมดหรือเปล่า ไม่มีทาง เพราะฉะนั้นหนึ่งในนั้นเนี่ยที่จะมารับอานิสงส์ตรงนี้ก็คือประเทศไทย" ปัจจัยนี้ ประกอบกับการได้ทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจชุดใหม่ที่ได้รับการยอมรับ ทำให้ความเชื่อมั่นในสายตานักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกเหนือจากปัจจัยมหภาค เขายังชี้ให้เห็นสัญญาณบวกที่จับต้องได้ภายในประเทศจากการเพิ่งไปเที่ยว Space Pattaya มา แล้วพบว่านักท่องเที่ยวจีนเริ่มกลับมาเที่ยวแล้ว เขาย้ำเตือนให้ผู้ประกอบการเปลี่ยนมุมมองจากความขมขื่นในอดีต มาสู่การมองหาโอกาสในปัจจุบัน "อดีตมันช่างขมขื่น เราอย่าไปมองว่าอนาคตมันจะต้องเป็นเหมือนข้างหลังทุกครั้งไปนะฮะ มันมีโอกาสที่ดี ที่รอเราอยู่ข้างหน้า"
เงินทุนยังอยู่ แต่ 'กฎของเกม' เปลี่ยนไปในขณะที่ภาพใหญ่เริ่มดูสดใสขึ้น ภาพย่อยในระบบนิเวศสตาร์ทอัพกลับถูกตั้งคำถามว่าเข้าสู่ ยุคซบเซาจริงหรือ? คุณปาลิดา อธิศพงศ์ Acting Managing Director, Krungsri Finnovate ในฐานะผู้บริหาร Corporate Venture Capital (CVC) ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนว่าเม็ดเงินยังไม่ได้เหือดหายไปไหน
"ตอบก่อนเลยว่า เรายังลงทุนอยู่ ยังมีให้เราลงทุนอยู่" คุณปาลิดายืนยัน แต่ยอมรับว่าเกิดการ ‘ชะลอ’ ลงบ้าง ซึ่งเป็นผลมาจากวงจรของ Ecosystem "กรุงศรี ฟินโนเวตโตมา 8 ปีแล้ว เราลงทุนเงินเข้าไปทุกปี ลงทุนไปหมดนะคะ ราลงไปประมาณ 4,500 ล้านบาท แต่ว่ามันต้องมี cycle ของมัน หมายความว่ามันต้องมีเงินหมุนเวียนการลงทุนไปแล้วอ่ะ ต้องมี exit อะไรสักอย่างมาเพื่อที่จะได้ลงทุนต่อไปเรื่อยๆ" คุณปาลิดามองว่าสตาร์ทอัพไทยหลายรายกำลังตบเท้าเข้าสู่ช่วงของการ Exit หรือ IPO ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินก้อนใหม่ไหลกลับเข้ามาหล่อเลี้ยงระบบนิเวศอีกครั้ง
แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างถาวร คือ คุณสมบัติของสตาร์ทอัพที่จะได้รับเงินลงทุน คุณเจษฎาเสริมประเด็นนี้ว่า "มันหมดยุคแล้วที่บอกว่า ตั้งไปก่อน เอาผู้ใช้งานเยอะๆ ก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยไปคิดว่าจะหาเงินยังไง" นักลงทุนในวันนี้ต้องการเห็นโมเดลธุรกิจและโอกาสในการทำกำไรที่ชัดเจนตั้งแต่วันแรก
คุณปาลิดาเน้นย้ำถึงปัจจัยด้านความเร็วและการปรับตัวที่กลายเป็นหัวใจสำคัญ "Netflix อ่ะใช้เวลาสักพักนึงเลยนะ น่าจะ 5-10 ปี แต่ว่าตอนนี้ ChatGPT ใช้เวลา 1 ปี เท่านั้นสำหรับการเป็น Unicorn เพราะฉะนั้นเนี่ย ตอนนี้เทคโนโลยีหมุนเร็วมากๆ” ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ CVC มองหามากที่สุดในตัวผู้ก่อตั้งจึงไม่ใช่แค่ไอเดีย แต่คือทัศนคติ "สิ่งที่เรามองก็อาจจะมองหา Founder ที่มีทัศนคติที่เปิดมากๆ แล้วก็มีสามารถในการปรับตัวที่สูงมาก"

เมื่อถอยจากภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุน มาสู่กลยุทธ์ภาคสนามที่ SME และสตาร์ทอัพต้องเผชิญในทุกๆ วัน คุณอุษา สุธีลักษณาพร Head of Customer Experience จาก PEAK ได้พูดถึงแนวทางที่จับต้องได้ในช่วงเวลาเช่นนี้
เธอเริ่มต้นด้วยการยอมรับความจริงว่า ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก การควบคุมค่าใช้จ่ายคือสิ่งแรกที่ต้องทำ "ถ้า Tough Time เนี่ย เราเพิ่มกำไร 100 บาท ใช่ไหมคะ เราไม่ได้ Bottom Line เพิ่มขึ้นแน่นอน 100 บาท แต่ถ้าเราลด cost 100 บาทเนี่ยมันได้แน่นอน ได้ทันที" แต่หลังจากผ่านเฟสของการรัดเข็มขัดแล้ว ขั้นต่อไปคือการเปลี่ยนโหมดสู่การเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีหัวใจสำคัญคือการใช้เทคโนโลยีและข้อมูล
รักษากลุ่มลูกค้าเดิม เราต้องกอดลูกค้าที่ทำกำไรของคุณไว้ให้แน่น เพราะต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่สูงกว่าการรักษาลูกค้าเก่าถึง 3 เท่า ควรใช้เทคโนโลยีอย่าง AI เข้ามาช่วยปรับปรุงบริการให้เป็นส่วนตัว (Personalize) เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุด
บริหารจัดการด้วยข้อมูลและลดต้นทุนอย่างชาญฉลาด ผู้บริหารต้องลงมาดูตัวเลขและสถานะขององค์กรอย่างใกล้ชิด ในยุคที่กลยุทธ์เปลี่ยนแปลงเร็ว ตัวชี้วัด (Metrics) ก็ต้องปรับตามให้ทัน และที่สำคัญ AI ได้ทำให้ต้นทุนในการทดลองกลยุทธ์ใหม่ๆ หรือการทำระบบอัตโนมัติ (Automation) ถูกลงมาก ทำให้ SME สามารถเข้าถึงเครื่องมือที่จะช่วยให้ "เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ" ได้โดยไม่จำเป็นต้องขยายทีมงานหลังบ้านตามการเติบโตของรายได้เสมอไป
คุณอุษา ยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมว่า ในวิกฤตก็ยังมีโอกาสซ่อนอยู่ "ลูกค้ารายใหญ่ๆ ที่เคยลงทุนใน ERP software บัญชี หันกลับมาใช้ PEAK หลายคนมาก... ก็คือแสดงว่ามันมันมีปัญหาเรื่อง Budget" ซึ่งเป็นโอกาสที่มองเห็นได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและสภาวะตลาด
บทสรุปจากทั้งสามท่านได้ทำให้เห็นว่า การจะเปลี่ยนผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากให้กลายเป็นการเติบโตครั้งใหม่นั้น ต้องอาศัยการผสมผสานวิสัยทัศน์ทั้ง 3 ระดับ คือการอ่านเกมมหภาคให้ออก การปรับโมเดลธุรกิจให้สอดคล้องกับกติกาใหม่ของโลกการลงทุน และการวางกลยุทธ์ปฏิบัติการที่เฉียบคมโดยมีข้อมูลและลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ดังที่คุณปาลิดาทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจว่า "ให้ดูจุดแข็งของเรา... อย่าไปลด Core หรือ จุดแข็งของเรา" เพราะนั่นคือขุมพลังที่แท้จริงที่จะทำให้ธุรกิจของคุณไม่เพียงอยู่รอด แต่พร้อมที่จะทะยานไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่งกว่าเดิม
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด