รัฐบาลเวียดนามขยับ SME ได้เวลาทวงคืนตลาดแฟชั่นจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจีนอย่าง Shein และ TEMU | Techsauce

รัฐบาลเวียดนามขยับ SME ได้เวลาทวงคืนตลาดแฟชั่นจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจีนอย่าง Shein และ TEMU

จากที่เมื่อก่อนเรามักมองหาแฟชั่นทันสมัยจากเกาหลีหรือญี่ปุ่น แต่ตอนนี้เวียดนามเริ่มก้าวเข้ามาครองใจสายแฟชั่นบ้านเราได้อย่างน่าสนใจ ทั้งในกลุ่มผู้หญิงและผู้ชาย ที่ต่างเริ่มมองหาเสื้อผ้าเวียดนามกันมากขึ้น

และถ้ามองไปที่อุตสาหกรรมแฟชั่นเวียดนาม มันไม่ได้มาแค่กระแส เพราะนี่คืออุตสาหกรรมที่กำลังโตแบบติดจรวด ในปี 2020 ตลาดค้าปลีกแฟชั่นเวียดนามมีมูลค่าสูงถึง 5.34 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 1.8 แสนล้านบาท เติบโตเป็น 2 เท่า ภายใน 5 ปี (2015-2020) สินค้าหลักในตลาดยังเป็น เสื้อผ้า (54%) และ รองเท้า (33%) ซึ่งเป็นที่ต้องการของทั้งในและนอกประเทศ

ล่าสุดมีข่าวใหญ่สะเทือนวงการ เมื่อรัฐบาลเวียดนามเตรียม "บล็อก" แอปพลิเคชันและโดเมนช้อปปิ้งออนไลน์ของจีนอย่าง Shein และ Temu ถ้าทั้งสองไม่จดทะเบียนอย่างถูกต้องกับกระทรวงการค้าให้เสร็จสิ้นก่อนสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ 

ไม่แน่ว่า…นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการทวงคืน “อุตสาหกรรมแฟชั่น” ให้แก่ SME ในประเทศก็เป็นได้

ทวงคืน ‘อุตสาหกรรมแฟชั่น’ ให้ SME ท้องถิ่น

ทำไมการขยับตัวครั้งนี้ถึงใช้คำว่า ‘ทวงคืน’

คำว่า “ทวงคืน” ฟังดูไม่เกินจริงเลย เพราะหากย้อนกลับไปปี 2020 ตลาดแฟชั่นเวียดนามยังถูกครองโดย สินค้าที่ไม่มีแบรนด์ เช่น สินค้านำเข้าจากจีน หรือสินค้าผลิตในประเทศแต่ไม่มีชื่อแบรนด์ ซึ่งกินส่วนแบ่งถึง 76% ในขณะที่สินค้ามีแบรนด์ เช่น Zara, H&M หรือแบรนด์ท้องถิ่นอย่าง Viet Tien มีส่วนแบ่งแค่ ไม่ถึง 30%

แต่ไม่ใช่ว่าเวียดนามจะหยุดอยู่ตรงนั้น เพราะใน 2-3 ปีที่ผ่านมา วงการแฟชั่นเวียดนามเริ่มฉายแสงในระดับโลก นักออกแบบชื่อดังอย่าง Duy Tran จากแบรนด์ Fancì Club ได้มีโอกาสสร้างสรรค์เสื้อผ้าให้คนดังระดับโลก เช่น Bella Hadid, Dua Lipa และ BLACKPINK จนกลายเป็นที่ฮือฮาในวงการ

มูลค่าตลาดก็สะท้อนชัดเจน ในปี 2021 ตลาดแฟชั่นเวียดนามเติบโตเฉลี่ย 8% ต่อปี และแบรนด์ใหม่ๆ ของเวียดนามก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง Viet Tien และ Yody แบรนด์ท้องถิ่นของเวียดนามติดอันดับ Top 10 แบรนด์แฟชั่นชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปี 2024

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมของเวียดนามในการก้าวข้ามบทบาทจาก "แหล่งผลิต" สู่การเป็น "ผู้นำเทรนด์" และการเติบโตของอีคอมเมิร์ซได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในตลาดแฟชั่นของเวียดนามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ตลาดอีคอมเมิร์ซของเวียดนามเติบโตขึ้น 18% ในปีนี้ โดยมีมูลค่ารวม 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซียและไทย  แพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง Shopee และ Lazada ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่และผู้ที่อาศัยในเมืองใหญ่ ที่หันมาเลือกซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น

แต่ในขณะเดียวกัน สินค้าราคาถูกที่หลั่งไหลเข้ามาผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซก็กลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่บั่นทอนการเติบโตของธุรกิจท้องถิ่น การที่แบรนด์ท้องถิ่นต้องแข่งขันกับสินค้าราคาถูกจาก Shein และ Temu ได้สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อ SMEs ในอุตสาหกรรมแฟชั่นเวียดนาม สินค้าจาก2 แพลตฟอร์มนี้มักมีราคาถูกกว่ามาก เนื่องจาก:

การเลี่ยงภาษีและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ด้วยการไม่จดทะเบียนกับกระทรวงการค้า

ต้นทุนการผลิตที่ต่ำในจีน ทำให้สามารถตั้งราคาที่ SME ท้องถิ่นไม่สามารถแข่งขันได้

รัฐบาลไม่สามารถกำกับดูแลได้อย่างเต็มที่ เช่น การตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้า มาตรฐานการผลิต การขายสินค้าลอกเลียน หรือความโปร่งใสของการดำเนินธุรกิจ

สินค้าราคาถูกเหล่านี้ยังเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายผ่านช่องทางออนไลน์ พร้อมการจัดส่งที่รวดเร็ว ซึ่งดึงดูดผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับราคาเหนือคุณภาพ นี่เป็นปัญหาใหญ่สำหรับแบรนด์ท้องถิ่นที่ต้องพึ่งพาแหล่งผลิตในประเทศซึ่งมีต้นทุนสูงกว่า และยังต้องแบกรับภาระภาษีและค่าดำเนินการตามกฎหมาย

นี่ยังไม่รวมถึงปัญหาภาพลักษณ์ของตลาดแฟชั่นที่อาจถูกครอบงำด้วยสินค้า Fast Fashion คุณภาพต่ำ ซึ่งขัดต่อแนวโน้มการบริโภคที่ยั่งยืน

กฎหมายเวียดนามปัจจุบันอนุญาตให้นำเข้าสินค้ามูลค่าไม่เกิน 1 ล้านดง หรือประมาณ 1,300 บาท โดยไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งปัจจุบันถือเป็นประโยชน์ต่อสินค้าที่นำเข้าผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เช่น Shein และ Temu

ซึ่งรัฐบาลเวียดนามกำลังพิจารณายกเลิกการยกเว้นดังกล่าว เพื่อให้สินค้าที่นำเข้าต้องเสียภาษีเท่าเทียมกัน และลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ เพื่อช่วยให้ SME ท้องถิ่นมีโอกาสแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม และสนับสนุนให้ธุรกิจแฟชั่นเวียดนามก้าวขึ้นมาเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน

ส่องนโยบายสู้ทุนต่างชาติในเวียดนาม

เวียดนามเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 1986 โดยออกกฎหมายส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศฉบับแรกในปี 1987 นับแต่นั้นมา กฎหมายนี้ได้รับการปรับปรุงแก้ไขหลายครั้งเพื่อดึงดูดนักลงทุน หน่วยงานหลักที่ดูแลคือ Foreign Investment Agency หรือกรมการลงทุนต่างประเทศ ภายใต้กระทรวงวางแผนและการลงทุน (MPI) โดยฉบับปัจจุบันคือปี 2022 

รัฐบาลเวียดนามให้ความสำคัญกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน ดังนั้นรัฐบาลเวียดนามจึงมีนโยบายรับประกันแก่นักลงทุนต่างชาติหลายประการ เช่น ไม่ยึดทรัพย์สิน, ปกป้องสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา, ปกป้องผลประโยชน์หากมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย, รับประกันการโอนเงินกำไรและเงินลงทุนกลับประเทศ, มีระบบไกล่เกลี่ยข้อพิพาท, และอนุญาตให้ลงทุนได้นานถึง 50 ปี และต่ออายุได้ถึง 70 ปี

รูปแบบการลงทุนที่ต่างชาติสามารถทำได้มีหลากหลายเพื่อให้เหมาะสมกับธุรกิจได้แก่

  • สัญญาร่วมลงทุนธุรกิจ (BCC): ข้อดีคือมีความยืดหยุ่นสูง นิยมในอุตสาหกรรมน้ำมัน โทรคมนาคม และโฆษณา ข้อเสียคือไม่มีการจำกัดความรับผิดชอบหากขาดทุน และนักลงทุนต่างชาติขาดอิสระในการบริหาร
  • กิจการร่วมทุน (JV): เคยเป็นที่นิยม แต่ปัจจุบันลดลงเนื่องจากปัญหาด้านการบริหาร ต้องตั้งบริษัทใหม่ มีสัดส่วนการลงทุนที่ชัดเจน แต่มีข้อดีคือมีความชัดเจนด้านกฎหมายและการแบ่งปันผลกำไร
  • ชาวต่างชาติเป็นเจ้าของกิจการทั้งหมด: นักลงทุนต่างชาติมีอำนาจเต็มในการบริหาร
  • กิจการที่ทำสัญญากับภาครัฐ: ส่วนใหญ่มักเป็นโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น BOT, BTO, BT
  • รูปแบบอื่นๆ: เช่น การตั้งสำนักงานตัวแทน เป็นต้น

ในส่วนของภาษีเงินได้นิติบุคคล ปัจจุบันอยู่ที่ 28% เท่ากันทั้งบริษัทท้องถิ่นและต่างชาติ แต่มีสิทธิประโยชน์สำหรับกิจการที่ได้รับส่งเสริมพิเศษ โดยเสียภาษีในอัตรา 10-20% เป็นเวลา 10-15 ปี และมีการยกเว้นและลดหย่อนเพิ่มเติม 

นโยบายทั้งหมดที่กล่าวมาส่งผลให้มีการลงทุนจากต่างชาติมากขึ้นแต่สร้างผลกระทบหลายด้านต่อธุรกิจรายย่อยในประเทศ ทำให้รัฐบาลเวียดนามเดินหน้าควบคุมธุรกิจอีคอมเมิร์ซจากจีน โดยสั่งให้ Temu และ Shein จดทะเบียนบริษัทในเวียดนามภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน หากไม่ปฏิบัติตามจะถูกบล็อกไม่ให้เข้าถึงผู้บริโภคในประเทศ 

สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลในการรักษาสมดุลระหว่างการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ตามนโยบายที่มุ่งเน้นการคุ้มครองธุรกิจในประเทศ ส่งเสริมการลงทุนอย่างเป็นธรรม และสร้างความโปร่งใสในตลาด ในขณะเดียวกันก็ต้องรับมือกับความท้าทายจากการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากแพลตฟอร์มต่างชาติที่ใช้กลยุทธ์การลดราคาสินค้า รัฐบาลแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อธุรกิจท้องถิ่น

นอกจากนี้ รัฐบาลเวียดนามกำลังปรับปรุงกฎหมายการลงทุนใหม่ โดยจะรวมกฎหมายการลงทุนในประเทศและต่างประเทศเข้าด้วยกัน เพิ่มรูปแบบการลงทุน และยกเลิกเงื่อนไขการถือหุ้นของชาวต่างชาติ รวมถึงกิจการบางประเภทที่รัฐบาลเวียดนามห้ามหรือมีเงื่อนไขในการลงทุนของต่างชาติ เช่น โทรคมนาคม สื่อ การขนส่ง และทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น เพื่อที่จะปกป้องภาคธุรกิจขนาดย่อยของประเทศให้ยังคงมีที่ยืนในตลาดได้

อ้างอิง: dreamincubator, reuters, hochiminh.thaiembassy, asia.nikkei, apparelresources

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ถกยุทธศาสตร์ AI ไทย หนทางดึงไทยกลับเวทีโลก ควรเริ่มอย่างไร ?

ค้นพบโอกาสและความท้าทายของ AI ที่จะพลิกโฉมเศรษฐกิจและสังคมไทย พร้อมกลยุทธ์สำคัญในการพัฒนาประเทศให้ก้าวทันโลกในยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน!...

Responsive image

AI ไม่ได้แทนที่คุณ แต่จะช่วยให้คุณ 'ดีกว่าเดิม'

สำรวจแนวคิด "จิตวิทยาไซบอร์ก" ในการออกแบบระบบมนุษย์-AI เพื่อความรุ่งเรืองของมนุษย์ พร้อมบทบาทของ AI ในการพัฒนาไทยให้เป็น “AI Land” จากมุมมอง ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร ในงาน THE STANDARD ...

Responsive image

ปลดล็อกศักยภาพท่องเที่ยวไทยสู่ Global Destination ยกระดับประเทศผ่านเอกลักษณ์และความร่วมมือ

ร่วมวิเคราะห์เชิงลึกจากการเสวนาของคุณชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ และ ดร. วิทวัส สิทธิเวคิน Moderator ใน session นี้ เกี่ยวกับโอกาสและความท้าทายข...