VMware ผู้นำด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรมซอฟต์แวร์ระดับองค์กร เผย ภายในปี พ.ศ. 2568 CIO ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นจะมีบทบาทสำคัญในฐานะบุคคลชี้วัดผลสำเร็จในการดำเนินธุรกิจขององค์กรต่างๆ การมาถึงของ “โมเดิร์นแอป อีโคโนมี” (Modern App Economy) หรือเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยแอปพลิเคชัน จะเปลี่ยนรูปแบบการใช้เทคโนโลยีเพื่อธุรกิจ สู่องค์กรที่เป็นทั้งผู้สร้างนวัตกรรมและขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของธุรกิจไปพร้อมกัน องค์กรจะเพิ่มบทบาทให้กับ CIO ของพวกเขา ในฐานะผู้คุมอำนาจด้านการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้าง ขับเคลื่อน จัดการ เชื่อมต่อและปกป้องแอปพลิเคชันบนคลาวด์และอุปกรณ์ต่างๆ ในการขยายโอกาสทางธุรกิจ
ผลสำรวจ CIO 200 คนจากองค์กรทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น ในหัวข้อ “ก้าวสำคัญของ CIO ในเอเชียแปซิฟิกในปี พ.ศ. 2568: การศึกษาการเปลี่ยนแปลงองค์กรขั้นพื้นฐาน” (The Asia-Pacific CIO In 2025: Driving Fundamental Enterprise Change) เผยให้เห็นว่า 64 เปอร์เซ็นต์ ของ CIO เชื่อว่าพวกเขาจะก้าวเป็นกำลังสำคัญในการตัดสินใจและขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร และเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ มองว่าพวกเขาจะเป็นศูนย์กลางการสร้างรายได้และผลกำไรขององค์กรภายในปี พ.ศ. 2568 และ CIO ราว ๆ 56 เปอร์เซ็นต์ คาดว่าจะก้าวเป็นซีอีโอในปี พ.ศ. 2568
ตั้งแต่วันนี้จนถึงปี พ.ศ. 2568 CIO ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการขับเคลื่อนองค์กรด้วยเทคโนโลยีและจะเล็งเห็นบทบาทตนเองในฐานะผู้นำและผู้ออกแบบกลยุทธ์องค์กรผ่านการสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ดูแลทิศทางการดำเนินงานขององค์กรตั้งแต่วางแผน บริหารจัดการ ลงมือปฏิบัติจริง รวมทั้งสร้างการเชื่อมต่อและป้องกันเวิร์คโหลดของคนทั้งองค์กร โดยพวกเขายังคงให้ความสำคัญกับไซเบอร์ซีเคียวริตี้ โดย 84 เปอร์เซ็นต์ ของ CIO แนะนำให้องค์กรเร่งพัฒนาระบบอินเทอร์เน็ตพื่อลดความเสี่ยงทางไซเบอร์
คุณจิมมี่ อึ๊ง CIO ธนาคารแห่งชาติสิงคโปร์ หรือ DBS Bank กล่าวว่า “แม้ว่าเทคโนโลยีจะเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจ แต่วันนี้เทคโนโลยีได้กลายมาเป็นอุปสรรคสำคัญของธุรกิจเช่นกัน เราจะได้เห็นความร้อนแรงของแนวโน้มดังกล่าวจากการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลที่กระจายตัวอยู่ในองค์กรธุรกิจ เพื่อให้องค์กรบรรลุความสำเร็จทางธุรกิจ CIO จะต้องสวมบทบาทเป็นดิสรัปเตอร์เพื่อศึกษาเรียนรู้โอกาสและความเสี่ยงที่จะส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต รวมทั้งหาแนวทางหรือโซลูชั่นเพื่ออุดช่องโหว่ดังกล่าว เพื่อสร้างรากฐานทางเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งให้กับองค์กรและพร้อมส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ที่ดีสุดแก่ผู้บริโภค ทุกคนในองค์กรจำเป็นต้องปรับตัวให้พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ด้วยเช่นกัน"
CIO ในเอเชียแปซิฟิกคาดหวังว่าการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยและการนำข้อมูลมาขับเคลื่อนธุรกิจ จะดำรงความสามารถในการแข่งขันและปลดล็อคโอกาสการเติบโตใหม่สำหรับธุรกิจของพวกเขา พร้อมเผยถึงห้าอันดับเทคโนโลยีที่จะถูกนำมาใช้ดำเนินธุรกิจในอนาคตได้แก่ ได้แก่ แมชชีน เลิร์นนิ่ง (63 เปอร์เซ็นต์), ไอโอที (61 เปอร์เซ็นต์), ปัญญาประดิษฐ์ (60 เปอร์เซ็นต์), เอดจ์ คอมพิวติง (57 เปอร์เซ็นต์) และบล็อกเชน (51 เปอร์เซ็นต์) โดยพวกเขายังคาดการณ์อีกว่า เพื่อควบคุมศักยภาพของเทคโนโลยีที่จะแพร่หลายในอนาคตเหล่านี้ พวกเขาจำเป็นต้องลงทุนในการสร้างกรอบการทำงานที่ช่วยให้พวกเขาสามารถสร้างและจัดการเวิร์คโหลดได้ด้วยวิธีทันสมัยเพื่อส่งมอบนวัตกรรมเพื่อสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้
คุณซานเจย์ เค. เดชมุคห์ รองประธานและกรรมการผู้จัดการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี วีเอ็มแวร์ กล่าวว่า “ทุกธุรกิจอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่มีเทคโนโลยีเป็นปัจจัย ทั้ง คลาวด์ แอปพลิเคชัน เน็ตเวิร์คกิ้ง โมบิลิตี้ และซีเคียวริตี้ เทคโนโลยีเหล่านี้สร้างโอกาสให้กับ CIO ก้าวเป็นผู้นำในการนำพาองค์กรให้พัฒนาไปบนวงจรนวัตกรรมที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยวีเอ็มแวร์ได้พัฒนา VMware Tanzu และ Project Pacific ซึ่งนับเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมต่อการทำงานของ CIO ที่ช่วยให้ CIO สามารถบริหารจัดการเวิร์คโหลดและเห็นผลลัพธ์ในการดำเนินธุรกิจ”
ที่ VMworld US 2019 เราได้เปิดตัว กลุ่มโปรดักส์ Tanzu ของ VMware และ Project Pacific ที่จะช่วยให้ CIO สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้การทำงานของ Kubernetes ที่จะควบคุมการทำงานของโปรดักส์ดังกล่าวให้ทำงานเต็มศักยภาพ เพื่อช่วยให้องค์กรทรานส์ฟอร์มวิธีการดำเนินธุรกิจและจัดการเทคโนโลยีสุดล้ำในอนาคตได้อย่างราบรื่น
CIO ในเอเชียแปซิฟิกกำลังขับเคลื่อนวิธีการทำธุรกิจรูปแบบใหม่ด้วยเทคโนโลยี CIO มากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ได้ริเริ่มโครงการสร้างรายได้ดังกล่าวแล้ว มีการคาดการณ์ว่าโครงการดังกล่าวจะเติบโตถึง 85 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2563 จาก CIO ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการเติบโตขององค์กรควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีและกลยุทธ์ทางธุรกิจซึ่งจะเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จของพวกเขา รายได้ของบริษัทสามอันดับแรก ได้แก่ งานจัดสรรและการขายข้อมูลให้กับบุคคลที่สาม (22 เปอร์เซ็นต์) จัดการข้อมูลลูกค้า (21 เปอร์เซ็นต์) และให้บริการด้านไอที (20 เปอร์เซ็นต์) เพื่อช่วยให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวการปรับปรุงล่าสุดของกลุ่มผลิตภัณฑ์คลาวด์ไฮบริดชั้นนำของวีเอ็มแวร์ช่วยให้ CIO สร้างรากฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่งซึ่งพวกเขาสามารถออกแบบและขยายโมเดลธุรกิจใหม่ได้อย่างคล่องตัว
เนื่องจาก CIO ในเอเชียแปซิฟิกใช้เทคโนโลยีเพื่อเร่งการทรานส์ฟอร์เมชั่นขององค์กร แผนรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์จึงเป็นหนทางที่สำคัญต่อการสร้างความสำเร็จของธุรกิจ โดย CIO มากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ สนับสนุนความต้องการอินเทอร์เน็ตที่จะได้รับการแก้ไขเพื่อต่อสู้กับความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นของอาชญากรไซเบอร์ ขณะที่ 36 เปอร์เซ็นต์ ของพวกเขาเชื่อว่าอาชญากรรมไซเบอร์อาจจะนำไปสู่การปิดอินเทอร์เน็ต ซึ่งการพัฒนาล่าสุดจากวีเอ็มแวร์ได้ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อจัดการกับภัยคุกคามทางไซเบอร์สำหรับองค์กรการกระจายที่ทันสมัยวิสัยทัศน์สถาปัตยกรรมแบบ zero-trust ใหม่ของวีเอ็มแวร์ทำให้การรักษาความปลอดภัยในเชิงรุกสามารถทำได้ด้วยระบบอัตโนมัติพร้อมกันนี้ยังเปิดให้ผู้ดูแลสามารถกำหนดแผนการป้องกันได้ด้วยตนเองอีกด้วย วิสัยทัศน์นี้ยังได้รับการสนับสนุนจากการพาร์ทเนอร์คนสำคัญ Dell เพื่อทำให้ VMware Carbon Black Cloud เป็นโซลูชันด้านความปลอดภัยและจัดการเวิร์คโหลดที่ลูกค้าต้องการ
คุณ Lionel Lim รองประธานและกรรมการผู้จัดการของเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น Pivotal กล่าวว่า CIO ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกสามารถนำองค์กรของพวกเขาไปสู่แนวทางใหม่ในการทำธุรกิจเพื่อตอบสนองต่อเศรษฐกิจดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยแอปที่กำลังเติบโตในภูมิภาคนี้ ภายใต้กระบวนการใหม่นี้องค์กรต่าง ๆ ได้ปรับใช้ Kubernetes และโครงสร้างพื้นฐานแบบคลาวด์ที่ช่วยให้จัดการซอฟต์แวร์ที่กำหนดเองอย่างต่อเนื่องบนแพลตฟอร์มที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ เพื่อตอบรับการทรานส์ฟอร์มแนวทางการทำธุรกิจของพวกเขา”
“ด้วยการมอบประสบการณ์ใช้งานแก่องค์กรที่มีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมสำหรับนักพัฒนาที่ช่วยให้พวกเขาสามารถควบคุมการทำงานของ Kubernetes ได้อย่างเต็มศักยภาพ เพื่อสร้าง เรียกใช้ และจัดการแอปพลิเคชันที่ทันสมัย วีเอ็มแวร์จึงนับเป็นผู้ให้บริการที่สามารถส่งต่อนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมแก่ CIO ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้”
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด