สิ่งสำคัญที่ชี้เป็นชี้ตายว่า “ยูนิคอร์น” จะรุ่งหรือจะร่วง | Techsauce

สิ่งสำคัญที่ชี้เป็นชี้ตายว่า “ยูนิคอร์น” จะรุ่งหรือจะร่วง

 

เหล่ายูนิคอร์นสตาร์ทอัพหลายบริษัทใน Silicon Valley ที่เคยมีมูลค่าพันล้าน ขณะนี้ต่างเผชิญกับสภาวะวิกฤต โดยหลังจากที่บริษัทได้จดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ส่วนแบ่งทางการตลาดของยูนิคอร์นเหล่านั้นดิ่งลงอย่างน่าตกใจ ตัวอย่างบริษัทที่ราคาหุ้นร่วงหนักหลังจากเป็นบริษัทมหาชน ได้แก่ Square, Fitbit และ Box ซึ่งกลายเป็นประเด็นร้อนใน Silicon Valley ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

getty_unicorn

ความรุ่งโรจน์และร่วงโรยของยูนิคอร์นเหล่านี้ อาจเป็นเพราะว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาบริษัทที่จะเป็นยูนิคอร์นได้มีไม่มากนัก เพราะการที่จะมีบริษัทสักแห่งที่มีมูลค่าถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก จึงได้เกิดเป็นสมญานามที่เรียกกันว่า “ยูนิคอร์น” ซึ่งแตกต่างจากปัจจุบัน เพราะบริษัทจำกัดที่มีมูลค่าถึง 1 พันล้านเหรียญฯ นั้นมีมากกว่า 130 บริษัท

เมื่อเหล่ายูนิคอร์นต่างเผชิญกับสภาวะที่ยากลำบากหลังเปิดขายหุ้นให้กับสาธารณะ คุณอาจจะคิดได้ว่าบางทีบริษัทเหล่านี้อาจจะถูกประเมินมูลค่าสูงเกินไปตั้งแต่แรก ซึ่งนั่นก็เป็นปัญหาหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วมีปัญหาที่ใหญ่และร้ายแรงกว่าอยู่

ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่นำความตายมาสู่เหล่ายูนิคอร์น คือความล้มเหลวในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัญหานี้ถูกนำเสนอโดยบทความที่เขียนโดย  Vijay Govindarajan, Tarunya Govindarajan และ Adam Stepinski ใน Havard Business Review ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีความสามารถที่จะสร้างนวัตกรรมใหม่ได้ แต่เนื่องจากการขยายตัวของบริษัทหลังจากเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ทำให้การรักษาวัฒนธรรมแบบเดิมที่เคยส่งเสริมให้เกิดการคิดนวัตกรรมใหม่ๆ กลับทำได้ยากขึ้น ในขณะเดียวกันพวกเขาเองก็เข้าสู่วงจรของการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม การนำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้าไปขายในตลาดใดก็ตามเปรียบเสมือนดาบสองคมเสมอ เพราะถ้าผลิตภัณฑ์ของคุณสามารถเข้าไปสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดเดิมได้มาก เท่ากับว่าคุณได้เปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันในตลาดนั้นโดยสิ้นเชิง ซึ่งจะมีอีกหลายบริษัทที่รับรู้ถึงเรื่องนี้และจะเริ่มเรียนรู้ ทดลอง และไล่ตามความสำเร็จของคุณได้โดยใช้เวลาไม่นาน

ความล้มเหลวในการสร้างนวัตกรรมใหม่คือเส้นทางสู่หายนะ

สตาร์ทอัพนั้นได้เปรียบบริษัทเก่าแก่ที่ยังจมอยู่กับระบบบริหารที่เต็มไปด้วยพิธีรีตองอันเชื่องช้าและขนาดของบริษัทที่ไม่คล่องตัว ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้สตาร์ทอัพขนาดเล็กที่ชื่อไม่คุ้นหู กลายเป็นบริษัทมูลค่าพันล้านในชั่วข้ามคืนเพราะบริษัทเหล่านั้นสามารถเหลาไอเดียได้เเหลมคมและมีศักยภาพเพียบพร้อมในการสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เป็นนวัตกรรมได้

จังหวะที่ได้รับทุนอย่างไม่ทันตั้งตัวนั่นเอง ความอันตรายก็เริ่มคืบคลานเข้ามา เพราะการที่เราเป็นผู้สร้างนวัตกรรมสำเร็จได้ครั้งหนึ่งแล้ว ก็ใช่ว่าเราจะทำเช่นนั้นไปได้ตลอด

ระยะที่เข้าสู่การแข่งขันจะเริ่มขึ้นหลังจากได้เป็นบริษัทมหาชนแล้ว ซึ่งเท่ากับว่าบริษัทได้ผ่านพ้นช่วงเวลาอันยุ่งเหยิงมาแล้วเรียบร้อย เหล่ายูนิคอร์นที่ปราศจากนวัตกรรมใหม่ๆ ต่างเผชิญกับชะตากรรมที่แย่ไม่เเพ้เดิม แม้การปรับปรุงผลิตภัณฑ์จะสามารถทำให้บริษัทกลายเป็นมหาชนได้ แต่พวกเขาก็ยังต้องสร้างความหลากหลายในการให้บริการ เพื่อที่จะคงไว้ซึ่งการเป็นผู้นำในตลาด

ความคล่องเเคล่วนั้นคือสิ่งที่จะทำให้สตาร์ทอัพประสบความสำเร็จ เพราะทีมงานจะสามารถผลิตนวัตกรรมใหม่ๆ ได้ไวและขยายได้อย่างรวดเร็ว จงจำไว้เสมอว่า ตลาดเองก็มีความรวดเร็ว มีวิวัฒนาการอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน และยังมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ  เหล่ายูนิคอร์นที่คิดว่าสร้างผลิตภัณฑ์สุดล้ำมาแล้ว อาจจะกลายเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าที่ตกยุคโดยทันทีหลังจากที่เปิดขายหุ้นให้กับสาธารณะ

Havard Business Review ชี้ว่าเรื่องราวของ Dropbox ก็ถือเป็นอุทธาหรณ์ เพราะแม้ว่า Dropbox จะยังเป็นบริษัทจำกัด แต่ก็ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง โดย Dropbox ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2007 ในขณะนั้นระบบการเก็บข้อมูลแบบ Cloud เป็นไอเดียที่ใหม่มาก บริษัทเติบโตอย่างร้อนแรงด้วยยอดผู้ใช้กว่า 500 ล้านคนและมีมูลค่าบริษัทสูงถึงหมื่นล้าน  Business Insider แจ้งว่ากองทุน T.Rowe Price ได้ทำการเข้าถือหุ้นถึง 51% ใน Dropbox  ซึ่งกองทุนดังกล่าวเข้าซื้อหุ้นในราคา 19.10 เหรียญต่อหุ้นเมื่อปี 2014  แต่ในขณะนี้ราคาหุ้น Dropbox เหลือเพียง 9.40 เหรียญเท่านั้น

Dropbox เคยเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดและเป็นส่วนหนึ่งในเหล่ายูนิคอร์น แต่เพราะอะไรมูลค่าถึงลดลงได้ขนาดนั้น คำตอบก็คือ เป็นเพราะการแข่งขันจากเหล่าผู้เล่นอื่นที่บุกเข้ามาในตลาดที่ Dropbox สร้างขึ้นมาด้วยตนเอง เห็นได้ชัดจากการที่ในปัจจุบันเราสามารถเก็บไฟล์และเอกสารต่างๆในระบบ Cloud ได้ โดยใช้ระบบของ Apple, Microsoft, Google หรือ Amazon

Dropbox ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่โหดร้ายยิ่งกว่า เพราะบริษัทอื่นได้สร้างการใช้ระบบ cloud ผ่านมือถือซึ่งไม่เคยมีมาก่อนเมื่อครั้งที่ Dropbox เข้าสู่ตลาด

“ก็ถ้าสมาร์ทโฟนสามารถใช้ระบบ cloud ที่ติดมากับเครื่องได้ ทำไมถึงต้องเสียเวลาและเงินไปใช้ของคนอื่นล่ะ Dropbox ควรจะทำงานให้หนักในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ถ้ายังอยากจะแข่งขันกับคู่แข่งรายใหญ่รายอื่นได้อยู่” ส่วนหนึ่งจากบทความใน Harvard Business Review

จากกรณีศึกษาที่ผ่านมา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ คือหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ทำให้สตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นสามารถดำเนินต่อไปได้จริง ประกอบกับการระมัดระวังเรื่องการแข่งขันของตลาดที่สูงขึ้น และการพยายามรักษาวัฒนธรรมของบริษัทให้เอื้อต่อการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพราะนี่ก็คือจุดแข็งที่ทำให้ธุรกิจสตาร์ทอัพสามารถมีมูลค่าสูงขึ้นได้เหมือนหลายๆ บริษัทในอดีตที่ผ่านมานั่นเอง

ที่มา: Inc.com

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

สองวิธีเรียกคืนอำนาจบริหารจากบริษัทตัวเอง ถกประเด็นน่ารู้จากซีรีส์ Queen of tears

เจาะลึกประเด็นซีรีส์ Queen of tears การต่อสู้แย่งชิงอำนาจบริหาร Queens Group กำลังทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ในความเป็นจริงแล้ว ในความเป็นจริงแล้ว ตระกูลฮงจะกลับมายึดคืนอำนาจบริหาร ...

Responsive image

17 เรื่อง AI ต้องรู้ จากรายงาน AI Index 2024

Techsauce ได้สรุป 17 ประเด็นสำคัญจากรายงาน AI Index Report 2024 ซึ่งจัดทำโดย Stanford Institute for Human-Centered Artificial Intelligence (HAI) ที่รวบรวมประเด็นต่างๆ ของปัญญาประดิ...

Responsive image

แนะเทรนด์ลงทุนในสตาร์ทอัพปี 2024 พร้อมช่องทางใหม่ในการระดมทุนจากงาน KATALYST TALK MEETUP #3

บทความที่เอสเอ็มอี สตาร์ทอัพควรอ่านเพื่อเป็นไกด์ไลน์ในการเผชิญความท้าทายในปีนี้ จากการรับฟังภายในงาน KATALYST TALK MEETUP #3 ‘Navigating the Startup Challenges in 2024 and Beyond’...