ทำไมกรุงไทยต้องคิดแบบบริษัทเทค? วิเคราะห์ยุทธศาสตร์ A–E และบทบาทใหม่ในโลกการเงินดิจิทัลตามฉบับ Ant Group

ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ธนาคารเคยต้องแข่งขันกันที่สาขา จำนวนตู้ ATM ปริมาณเงินฝาก หรือดอกเบี้ย แต่โลกวันนี้ไม่ได้หมุนด้วยปัจจัยเหล่านั้นอีกต่อไปแล้ว โลกการเงินถูกกำหนดด้วยสิ่งที่เร็วกว่า ใหญ่กว่า และขยายได้มากกว่า นั่นคือเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม

และหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดที่สุดคือจีน กับการเติบโตของ Ant Group ผู้พัฒนา Alipay จนกลายเป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้มากกว่า 1.8 พันล้านคนทั่วเอเชีย การเติบโตแบบนี้ทำให้ทั้งอุตสาหกรรมการเงินต้องยอมรับความจริงใหม่ว่า ถ้าธนาคารยังคิดแบบเดิม จะตามแพลตฟอร์มเทคไม่ทันอีกต่อไป

ความสำเร็จของ Ant Group เกิดจากสิ่งเดียวเลยคือ คิดแบบบริษัทเทค ไม่ใช่บริษัทการเงิน และสิ่งที่ Ant Group ทำสำเร็จก็ไม่ใช่การสร้างผลิตภัณฑ์ทางการเงิน แต่คือการออกแบบระบบที่ทำให้คนจำนวนมหาศาลสามารถใช้ชีวิตทางการเงินได้ง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

และนี่คือจุดที่ทำให้กรุงไทยต้องขยับเข้าหาแนวคิดแบบเดียวกัน หากต้องการเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเงินสมัยใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้นในเอเชีย และในบทความนี้ Techsauce จะพาไปเจาะว่าทำไมธนาคารกรุงไทยถึงเริ่มขยับตัวแบบนี้ และเขามีแนวคิดอย่างไรกัน

จาก Alipay+ สู่พร้อมเพย์ ความง่ายที่ทำให้ร้านเล็ก ๆ เชื่อมเข้ากับคน 1.8 พันล้านได้

จุดแข็งที่สุดของ Alipay+ คือทำให้ผู้คนจากหลายประเทศสามารถใช้ e-wallet ที่คุ้นเคยของตัวเองจ่ายในต่างประเทศได้ โดยฝั่งร้านค้าแทบไม่ต้องทำอะไรเลย แค่มี QR ที่ใช้อยู่แล้ว

ไทยยิ่งได้เปรียบเพราะมีพร้อมเพย์ เป็นโครงสร้างกลางอยู่ก่อนแล้ว ทำให้เมื่อมีการเชื่อม Alipay+ เข้ากับระบบไทย ผลลัพธ์คือร้านค้าจำนวนมาก ตั้งแต่ร้านกาแฟเล็ก ๆ จนถึงร้านขายของในตลาดท่องเที่ยวสามารถรับลูกค้าจีนได้ทันทีแบบไม่ยุ่งยาก

ข้อมูลยิ่งน่าสนใจเมื่อพบว่า กว่า 80% ของยอดธุรกรรม Alipay+ ในไทยเกิดขึ้นที่ร้านรายย่อย ไม่ใช่ห้างใหญ่หรือร้านแบรนด์ดัง นั่นแปลว่าเทคโนโลยีที่ถูกออกแบบดีจริง ๆ จะเข้าไปเพิ่มโอกาสให้กับคนตัวเล็กก่อนเสมอ และนี่คือพลังของการคิดแบบบริษัทเทค คือ การสร้างระบบครั้งเดียวแล้วให้ทุกคนในระบบได้ประโยชน์พร้อมกันทันที 

โมเดลแบบนี้ทำให้เห็นว่าระบบการเงินยุคใหม่ไม่จำเป็นต้องซับซ้อน แต่ต้องง่ายพอให้คนทั้งประเทศใช้ได้โดยไม่ต้องคิด ซึ่งเป็นปรัชญาแบบเดียวกับบริษัทเทคที่เน้นผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง และให้ระบบหลังบ้านจัดการเรื่องยากไว้ทั้งหมด

เมื่อกรุงไทยเริ่มคิดแบบบริษัทเทค จากยุทธศาสตร์ A–E สู่ระบบการเงินไทยที่เชื่อมถึงเอเชีย

ในวันที่ระบบการเงินทั้งภูมิภาคกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุค “มือถือคือศูนย์กลางทุกอย่าง” ธนาคารที่เคลื่อนตัวช้าที่สุดจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และธนาคารที่ขยับเหมือนบริษัทเทคจะเป็นผู้กำหนดทิศทางของประเทศในอีกสิบปีข้างหน้า 

หนึ่งในองค์กรที่น่าจับตามองในไทยตอนนี้คือ ธนาคารกรุงไทยที่กำลังเปลี่ยนบทบาทจากธนาคารของรัฐไปสู่ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มระดับประเทศแบบที่บริษัทเทคยักษ์ใหญ่ในต่างประเทศทำสำเร็จมาแล้ว

สิ่งที่ยืนยันภาพนี้ได้ดีที่สุดคือ แผนยุทธศาสตร์ 5 ด้าน ที่เห็นว่านี่คือ Roadmap ที่วางให้กรุงไทยเดินไปบนเส้นทางเดียวกับบริษัทเทคระดับภูมิภาค แผน A–E จึงเป็นแนวคิดที่กรุงไทยตั้งใจจะทำตนเองกลายเป็นระบบนิเวศดิจิทัลของประเทศ

A - B เปลี่ยนแพลตฟอร์มที่มีอยู่ให้สร้างประโยชน์ระดับประเทศ

บนสุดของสไลด์ แบ่งเป็น A และ B ซึ่งเป็นผลลัพธ์ใหญ่ที่กรุงไทยต้องการให้เกิดขึ้นจริงในเศรษฐกิจไทย 

ในส่วนของ A บอกชัดว่ากรุงไทยต้องทำให้แพลตฟอร์มที่มี เช่น เป๋าตัง ถุงเงิน และ KTB Next กลายเป็นระบบนิเวศทางเศรษฐกิจอย่างเต็มรูปแบบ เพราะแพลตฟอร์มเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงบริการธนาคาร แต่เป็นสิ่งที่เชื่อมทั้งประชาชน ร้านค้า และบริการรัฐเข้าด้วยกันในระดับที่หาไม่ได้จากธนาคารอื่นในไทย ความได้เปรียบนี้คล้ายกับจุดเริ่มของ Alipay ในจีนที่ทำให้ทั้งประเทศเปลี่ยนวิธีใช้เงินในเวลาอันรวดเร็ว

ส่วนของ B คือการนำโครงสร้างที่มีอยู่ไปสู่การเติบโตใหม่ เช่น การเชื่อมระบบชำระเงินของไทยกับประเทศอื่น การนำบริการรัฐและบริการการเงินมาไว้ในแอปเดียว หรือการเปิดโอกาสให้ร้านค้าไทยรับกำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงคือการเชื่อม Alipay+ กับพร้อมเพย์ ซึ่งทำให้ร้านค้าขนาดเล็กในไทยรับเงินจากผู้ใช้ต่างประเทศได้ทันที และกว่ายอดใช้จ่ายมากกว่า 80% เกิดขึ้นที่ร้านรายย่อย นี่คือการเติบโตแบบคนได้ใช้จริงๆ ซึ่งไม่ใช่เติบโตบนกระดาษ

C ทำให้ประสบการณ์ของผู้ใช้เรียบง่ายที่สุดเหมือนบริษัทเทค

ยุทธศาสตร์ C คือรากของการเปลี่ยนวิธีคิดจากคิดแบบธนาคาร ไปสู่การคิดแบบบริษัทเทค เพราะเมื่อผู้คนคุ้นชินกับประสบการณ์ที่รวดเร็วและง่ายจากแพลตฟอร์มเทคอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแชท การเรียกรถ การซื้อของ แอปธนาคารก็ต้องตอบโจทย์แบบเดียวกัน การทำธุรกรรมต้องไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องอธิบายซ้ำ และต้องมีประสบการณ์ที่ลื่นพอสำหรับผู้ใช้ทุกวัย

จุดนี้คือสิ่งที่กรุงไทยกำลังทำผ่านแพลตฟอร์มอย่าง KTB Next เป๋าตัง และถุงเงิน ซึ่งหลายคนใช้จนเป็นกิจวัตรโดยไม่รู้ตัวว่านี่คือการใช้งานบนแพลตฟอร์มระดับประเทศที่ออกแบบให้ง่ายที่สุดเท่าที่จะง่ายได้

D - E สร้างพื้นฐานเทคโนโลยีและวัฒนธรรมองค์กรให้รองรับคนทั้งประเทศ

ส่วนล่างของสไลด์เป็นข้อ D และ E ซึ่งคือพื้นฐานที่ทำให้ทุกอย่างด้านบนเกิดขึ้นจริงได้ ข้อ D คือการสร้างระบบเทคโนโลยีที่รองรับผู้ใช้จำนวนมากได้อย่างเสถียร เพราะแพลตฟอร์มของกรุงไทยต้องรองรับผู้ใช้หลักสิบล้านถึงสี่สิบล้านคนในเวลาเดียวกัน และต้องเติบโตได้ทันทีเมื่อบริการใหม่ถูกเปิดตัว นี่คือจุดที่ธนาคารต้องคิดแบบบริษัทเทคมากกว่าธนาคารแบบเดิม

ข้อ E คือการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้ทำงานได้เร็วขึ้น ทดลองได้มากขึ้น และแก้ปัญหาได้แบบยืดหยุ่น ซึ่งเป็น DNA แบบเดียวกับบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ การทำงานลักษณะนี้จำเป็นต่อการปล่อยฟีเจอร์ใหม่ การเชื่อมต่อระบบใหม่ และการพัฒนาแพลตฟอร์มใหญ่ที่รองรับคนทั้งประเทศได้อย่างต่อเนื่อง

บทบาทของกรุงไทยในภาพระบบการเงินดิจิทัลใหม่

เมื่อมองย้อนกลับมาที่แพลตฟอร์มอย่างเป๋าตัง ถุงเงิน และ KTB Next จะเห็นว่ากรุงไทยไม่ได้เป็นแค่ “ผู้ให้บริการทางการเงิน” แต่กำลังทำหน้าที่เป็น “โครงข่ายกลาง” ของระบบเศรษฐกิจดิจิทัลไทย เป๋าตังมีผู้ใช้กว่า 40 ล้านคน ถุงเงินมีร้านค้าเชื่อมอยู่กว่า 2 ล้านร้าน และ KTB Next ทำให้ผู้คนเข้าถึงการเงินได้อย่างต่อเนื่องตลอดวัน แพลตฟอร์มทั้งหมดนี้มีบทบาทใกล้เคียงกับสิ่งที่บริษัทเทคมีในต่างประเทศ นั่นคือเป็นพื้นฐานให้บริการอื่นสามารถเกิดขึ้นต่อยอดได้อีกมาก

เมื่อรวมเข้ากับยุทธศาสตร์ A–E ภาพจึงชัดเจนมากว่ากรุงไทยกำลังก้าวไปไกลกว่างานธนาคาร แต่คือกำลังสร้างระบบที่เชื่อมประชาชน ร้านค้า และบริการรัฐเข้าด้วยกัน และยังสามารถเชื่อมต่อออกไปยังแพลตฟอร์มระดับภูมิภาคอย่าง Alipay+ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ทำไมองค์กรทุ่มงบให้ AI แต่ยังไม่เห็นผลจริง ? เปิดมุมมองกับ ABeam Consulting ผู้คลุกคลีกับ Data & AI ขององค์กรไทย

ทำไมทุ่มงบ AI แต่ไม่เห็นผล? เจาะลึกมุมมองจาก ABeam Consulting ถึงสาเหตุที่แท้จริง ตั้งแต่ปัญหาข้อมูลใช้ไม่ได้ จนถึงวัฒนธรรมองค์กร พร้อมแนวทางปรับตัวให้ AI ใช้งานได้จริงในปี 2025...

Responsive image

ส่องเทรนด์ AI ปี 2026 เมื่อเทคโนโลยีเป็น 'คู่คิด' แต่ความเร็วอาจเป็น 'กับดัก'

ปี 2025 AI ได้กลายเป็นเครื่องมือของคนทำงานไปแล้ว และในปี 2026 กำลังจะเป็นอีกก้าวสำคัญ เพราะ AI จะไม่ได้แค่ช่วยให้ทำงานเร็วขึ้น แต่จะเริ่มเข้ามามีบทบาทในการตัดสินใจมากขึ้นเรื่อย ๆ...

Responsive image

Nvidia ทุ่ม 2 หมื่นล้านดอลลาร์เข้าซื้อเทคและทีม Groq สตาร์ทอัพชิป LPU หวังตัดคู่แข่งและเดินเกมคุมโครงสร้างพื้นฐานโลก AI

Nvidia เดินหมากใหญ่ด้วยดีลมูลค่า 20,000 ล้านดอลลาร์ กับ Groq สตาร์ทอัพชิป LPU โดยไม่ซื้อกิจการ แต่เลือกถือสิทธิเทคโนโลยีและดึงทีมแกนหลักเข้าร่วมทัพ เพื่อเร่งครองเกม AI Inference แล...