เผยความคืบหน้า 30 วัน 'หอการค้าไทย' ระดมพื้นที่ฉีดวัคซีนได้ 372 จุด ทั่วประเทศ | Techsauce

เผยความคืบหน้า 30 วัน 'หอการค้าไทย' ระดมพื้นที่ฉีดวัคซีนได้ 372 จุด ทั่วประเทศ

เผยความคืบหน้า 30 วันแรกของภารกิจ 99 วัน ภายใต้นโยบาย Connect the dots ของกลุ่มการค้าปลีกและบริการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เสนอพื้นที่ฉีดวัคซีนทั่วประเทศ 372  แห่ง รองรับได้วันละ 30,000 คน พร้อมจัดทำโครงการต้นแบบแซนด์บอกซ์นำร่องเฟสแรก เสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการ SME เข้าถึงแหล่ง Soft loan  กว่า 6,000 ราย เดินหน้าสู่เป้าหมาย 100,000ราย 

เผยความคืบหน้า 30 วัน 'หอการค้าไทย'

คุณญนน์ โภคทรัพย์ ประธานกลุ่มการค้าปลีกและบริการ และหัวหน้าทีมสนับสนุนการกระจายและฉีดวัคซีน ของหอการค้าไทย กล่าวถึงความคืบหน้า 30 วันแรกของภารกิจ 99 วัน ภายใต้นโยบาย Connect the dots ของนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานหอการค้าไทยที่ได้ประกาศไปเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2564 กลุ่มการค้าปลีกและบริการดำเนินงานด้วยความมุ่งมั่นที่จะจัดหาพื้นที่ฉีดวัคซีน เพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดและช่วยพลิกฟื้นสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลกระทบกับการดำเนินชีวิตของคนไทยเป็นอย่างมากและ มีจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นทุกวัน 

โดยมีผลการดำเนินงาน 30 วันแรกภายใต้ 3 ภารกิจหลัก ดังนี้

 1. การจัดหาพื้นที่การฉีดวัคซีนและการกระจายวัคซีนให้รวดเร็วและทั่วถึง   

กลุ่มการค้าปลีกและบริการได้นำเสนอพื้นที่ฉีดวัคซีนทั่วประเทศ 302 แห่ง ประกอบด้วย กรุงเทพมหานครจำนวน 66 แห่ง และจังหวัดที่เหลือทั่วประเทศจำนวน 236 แห่ง และดำเนินการลงสำรวจพื้นที่สถานที่จริงเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2564 และได้รับอนุมัติจากกรุงเทพมหานครแล้วจำนวน 14 แห่งเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2564 และสามารถฉีดวัคซีนได้ 25,000 -30,000 คนต่อวัน พร้อมทั้งสนับสนุนระบบและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ อาทิ คอมพิวเตอร์ เครื่องอ่านบัตรประชาชน ตลอดจนอาหารและเครื่องดื่มสำหรับบุคคลากรและประชาชนทั่วไป 

หากมีปริมาณวัคซีนเพิ่มมากขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม มีความเป็นไปได้ที่จะมีการขยายจุดฉีดวัคซีนเพิ่มมากขึ้นไปอีก ดังนั้น กลุ่มการค้าปลีกและบริการจึงได้ประสานความร่วมมืออย่างทันทีไปยังเครือข่ายภาคีของหอการค้าไทยและนำเสนอพื้นที่ทั่วประเทศเพิ่มอีก 70 แห่ง ไปเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 ทำให้ในขณะนี้ มีพื้นที่เสนอรวมทั้งหมดจำนวน 372 แห่ง ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร จำนวน 82 แห่ง และจังหวัดที่เหลือจำนวน 290 แห่ง

พื้นที่แต่ละจุดในกรุงเทพฯ จะเป็น “ต้นแบบ” พื้นที่ฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ และครบวงจร (Total Solutions) ถือเป็นแชนด์บอกซ์นำร่อง สามารถต่อยอดขยายจุดฉีดวัคซีนทั่วประเทศที่ได้รับเลือกจากผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ  และหน่วยงานที่รับผิดชอบ โดยเราได้เริ่มทำให้เกิดขึ้นจริงโดยทันที และดำเนินการฉีดวัคซีนแล้วในพื้นที่ศูนย์การค้า คือ ศูนย์การค้า เซ็นทรัล สมุย เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2564 และศูนย์การค้า เซ็นทรัล ระยอง เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา 

ภายใน 69 วันที่เหลือ ยังมีแผนดำเนินการในเรื่องของการกระจายวัคซีนให้ทั่วถึงมากขึ้น ด้วยการเป็นจุดเชื่อมโยงในการจัดทำหน่วยฉีดวัคซีนเคลื่อนที่ไปยังบริษัทและโรงงานใหญ่ๆ ที่มีพนักงานจำนวนมาก เพื่อให้วัคซีนวิ่งหาประชาชน และ ลดการเคลื่อนย้ายของประชาชน ภายในเฟสต่อไป รวมทั้งสนับสนุนให้จุดฉีดวัคซีนของภาคเอกชนเข้าไปอยู่ในระบบการจองฉีดวัคซีนของรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถเลือกเป็นจุดที่รับการฉีดวัคซีนได้

การเป็นจุดศูนย์กลางเชื่อมต่อให้ SME มากกว่า 100,000 ราย เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย รวดเร็ว และกระจายให้ทั่วถึง เพื่อให้ SME ไทยมีแต้มต่อในการดำเนินธุรกิจ  

 กลุ่มการค้าปลีกและบริการ เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงข้อมูลที่จำเป็นให้กับสถาบันการเงิน เพื่อประกอบการอนุมัติสินเชื่อให้เร็วขึ้น โดยบริษัทเซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทย จัดทำโครงการต้นแบบแซนด์บอกซ์นำร่องในเฟสแรก เพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีขนาดเล็ก ที่มียอดวงเงินกู้ต่ำกว่า 5 ล้านบาท โดยล่าสุดได้นำเสนอรายชื่อและข้อมูลให้ธนาคารอนุมัติกว่า 6,000 รายเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีจำนวนผู้ประกอบการ SME จำนวนกว่า 1,000 ราย จะได้รับอนุมัติสินเชื่อเป็นกลุ่มแรก ภายในเดือนพฤษภาคม 2564 และกว่า 70% ของทั้ง 6,000 รายนี้ ยังไม่เคยเข้าถึง Soft Loan มาก่อน

 สำหรับเฟสต่อไปในช่วงที่เหลือ 69 วัน จะนำต้นแบบแซนด์บอกซ์ขยายความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการ SME ที่มียอดวงเงินกู้ต่ำกว่า และหรือสูงกว่า 5 ล้านบาท ในเครือข่ายของหอการค้าไทย โดยจะทำงานร่วมกับสมาคมธนาคารไทย สมาชิกของสมาคมต่างๆ เช่น สมาคมค้าปลีกไทย และสมาคมศูนย์การค้าไทย เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME รายเล็ก และคาดว่าจะกระจายต้นแบบการขอสินเชื่อ Soft Loan ไปยัง SME มากกว่า 100,000 ราย ทั่วประเทศ ภายในเดือนธันวาคม 2564 เพื่อเสริมสภาพคล่องและเป็นแต้มต่อในการทำธุรกิจต่อไป

กระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ (Local Consumption) มากกว่าแสนล้านบาท และมีอัตราการจ้างงานกลับคืนมา 25-30% ของการจ้างงานภาคการค้าปลีกและบริการ

กลุ่มการค้าปลีกและบริการมีแผนงานที่จะส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ (Local Consumption) ผ่านโครงการ “ฮักไทย” กิน เที่ยว ใช้ (ช้อป) ของไทย โดยในช่วง 30 วันแรก ได้ศึกษาข้อมูลรายละเอียดเพื่อจัดทำแผนงานของโครงการและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ โครงการ “ฮักไทย” มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนให้คนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ อุดหนุนการกิน เที่ยว ใช้ของไทยพร้อมส่งเสริมให้ส่วนงานราชการและบริษัทต่างๆ จัดงานสัมมนาและประชุมในประเทศ กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายภายในประเทศและสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยมากกว่าแสนล้านบาท และมีอัตราการจ้างงานกลับคืนมา 25-30% ของการจ้างงานภาคการค้าปลีกและบริการ เพื่อทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้อย่างเร็ว และยั่งยืน โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการหารือกับภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าจะสรุปได้ภายในเดือนมิถุนายน 2564

 นอกเหนือจากนี้ จากสถานการณ์การระบาดที่รุนแรงในเดือนเมษายน 2564 ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้จำนวนเตียงที่รองรับผู้ป่วยโควิด-19 ไม่เพียงพอ ดังนั้น 3 ผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งเป็นสมาชิกของหอการค้าไทย จึงได้รวมตัวกันเพื่อเป็นจุดศูนย์กลางและรวบรวมการรับบริจาคกล่องลูกฟุก เพื่อทำเตียงสนามให้กับโรงพยาบาลสนาม โดยมีบริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (ห้างโลตัส), บริษัทเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) โดยในส่วนของเซ็นทรัล รีเทล บริจาคกล่องกระดาษลูกฟูก เพื่อนำไปรีไซเคิลเป็นเตียงสนาม 6,000 เตียง และเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปร่วมกันบริจาคอีก 1,000 เตียง เพื่อรวบรวมให้ได้ครบ 7,000 เตียงภายในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยลูกค้าสามารถร่วมบริจาคได้ที่จุดรับบริจาค ณ ห้างร้านและศูนย์การค้าในเครือฯ กว่า 124 จุด ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 

“ผลจากการร่วมแรงร่วมใจของพวกเราทุกคน ทุกภาคส่วน ทำให้เกิดพลังสังคมซึ่งผลักดันให้แผนงานที่เร่งดำเนินการไว้เกิดขึ้นได้จริงและรวดเร็วกว่าที่กำหนด สำหรับช่วงเวลาที่เหลืออีก 69 วัน กลุ่มการค้าปลีกและบริการจะยังคงเดินหน้าภารกิจ ตามนโยบาย Connect the dots ของหอการค้าไทย โดยให้ความสำคัญที่สุดในเรื่อง การเร่งการฉีดและกระจายวัคซีนให้เข้าถึงประชาชนอย่างทั่วถึงและเร็วที่สุด เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดให้ลดลง และสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประเทศ และด้วยการสรรพกำลังของเรา เราพร้อมที่จะประสานงานและสนับสนุนทุกหน่วยงาน ทุกภาคส่วน อาทิ กรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด หอการค้าทุกจังหวัด สมาชิกภาคีเครือข่ายของหอการค้าไทย สมาคมค้าปลีกไทย สมาคมศูนย์การค้าไทย สมาคมธนาคารไทย และภาคเอกชนอื่นๆ เรามุ่งมั่นและจะทุ่มเทอย่างจริงจังและจริงใจเพื่อทำให้แผนงานทั้งหมดสามารถเกิดขึ้นได้จริง เราจะเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยเหลือประเทศชาติและประชาชนคนไทยให้ก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ด้วยกัน” คุณญนน์ กล่าวทิ้งท้าย





ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

รวมเรื่องที่ต้องรู้ของไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ Omicron

ทำความรู้จักกับที่มาของไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ ‘Omicron’...

Responsive image

รู้จักกับอาการ Long COVID ภัยเงียบที่คนหายจากโควิดแล้ว ยังคงต้องเฝ้าระวัง

ลองโควิด (Long COVID) เป็นอาการตกค้างที่เกิดขึ้นหลังจากการติดเชื้อ COVID-19 และรักษาหายแล้ว แต่ไม่ได้ส่งผลเพียงแค่ระบบทางเดินหายใจเท่านั้น ยังส่งผลได้กับทุกระบบในร่างกาย...

Responsive image

ผลสำรวจ เผย วัคซีนโควิด AstraZeneca นานาชาติยอมรับสูงสุดกว่า 119 ประเทศ ฉีดแล้วเดินทางเข้าประเทศได้

ข้อมูลจากเว็บไซต์ท่องเที่ยว VisaGuide.World เผยว่าวัคซีนที่ประเทศต่าง ๆ ให้การยอมรับมากที่สุดถึง 119 ประเทศ คือวัคซีนที่ผลิตขึ้นโดย AstraZeneca ร่วมกับ Oxford University แต่เงื่อนไ...