บทความนี้แปลและเรียบเรียงจาก Harvard Business Review
'ซูเปอร์บอส' นั้นไม่ใช่แค่การเป็นเจ้านายที่ดี ที่แค่สร้างองค์กรหรือทำให้บริษัทมีรายได้เกินเป้าเท่านั้น แต่ยังเป็นคนที่สามารถมองเห็น ทำการสร้างและปั้นคนขึ้นมาให้เป็นดาวเด่นหรือ Talent ให้ได้ เหมือนอย่างที่รายการ Dailiy Show ของ Jon Stewart เปิดตัวนักแสดงตลกอาชีพใหม่ ที่ทำได้ก็เพราะพวกเขามองเห็นศักยภาพของคนในองค์กร ขัดเกลาและพัฒนาจนพนักงานประสบความสำเร็จ ซูเปอร์บอสก็เหมือนกับ 'ซูเปอร์ฮีโร่' พวกเขาต้องสร้างอิมแพคที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของตัวเองให้ได้
นอกจากเจ้าพ่อ Marvel อย่าง สแตน ลี (Stan Lee) จะเป็นนักเขียนการ์ตูน บรรณาธิการ นักแสดง โปรดิวเซอร์ ผู้จัดพิมพ์ ผู้มีชื่อเสียงทางรายการโทรทัศน์ชาวอเมริกัน และเป็นอดีตประธานของมาร์เวลคอมิกส์แล้ว 'การสร้างคน' เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแพชชั่นส่วนตัวของเขาเลยก็ว่าได้ เรามาดูกันว่าเขาทำได้อย่างไร
อย่าปล่อยให้พนักงานที่เป็นดาวเด่นว่างงาน หางานให้พวกเขาทำ เพื่อที่พวกเขาจะได้ยุ่งอยู่ตลอดเวลา เขาไม่ชอบปล่อยให้พนักงานนั่งทำงานไร้สาระเปล่าเปลื่อยไปวัน ๆ การไม่ได้ปล่อยให้เหล่าศิลปินใช้ความคิดและความสามารถเต็มที่นั้นเป็นอะไรที่น่าเบื่อ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงต่อการพ่ายแพ้ในการแข่งขัน
นอกจากนี้ การที่พนักงานดิ้นรนหารายได้เพื่อให้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพนั้นก็รบกวนใจเขาเช่นกัน ดังนั้นเขาต้องจึงสร้างความมั่นใจให้พนักงาน ว่าพวกเขาจะได้รับงานอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าบางครั้งมันจะส่งผลเสียต่อบริษัทก็ตาม
เขามักจะปล่อยให้เหล่า Talent มองหาวิธีสร้างสรรค์ผลงานเองอยู่เสมอ ไม่มีการจับผิด อย่างในช่วงที่กำลังเขียนการ์ตูนเล่มหนึ่ง เขาใส่คำว่า Pogo Stick (โปโก้สติ๊กของเล่นเด็ก) เข้าไปเป็นหนึ่งในประโยคเด็ด แต่มี Editor คนหนึ่งคิดว่าคำนี้มันไม่ใช่ คนอ่านน่าจะไม่อินแน่นอน เลยเสนอให้ใช้คำว่า Roller skate แทน แม้มันจะฟังดูตลกแต่เขาก็ยอมเปลี่ยนตามที่พนักงานบอก
สำหรับผมแล้วการมานั่งจับผิดการทำงานของพนักงานมันไม่ค่อยเหมาะเท่าไร เมื่อคุณจ้างเหล่าศิลปินให้มาทำงาน คุณก็ต้องปล่อยให้เขาทำงานของเขาไป สำหรับผมแล้ว หากพนักงานกำลังสร้างสรรค์ผลงาน และสามารถหาวิธีที่ดีที่สุดในแบบของเขาเพื่อให้มันออกมาดีได้ คุณก็ต้องปล่อยให้เขาทำมัน
ในปีต่อมา หนึ่งในชุดภาพยนตร์ของมาร์เวลอย่าง The Hulk ได้กลายเป็นรายการโทรทัศน์ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เขาประหลาดใจที่ได้เห็นผลของการที่เขายอมปล่อยให้ทีมงานสร้างสรรค์ผลงานอย่างเต็มที่ และสามารถทำให้ The Hulk ประสบความสำเร็จบนแพลตฟอร์มใหม่ได้จริง ๆ
"ในระหว่างที่ผมคุยกับ Ken Johnson ว่าจะทำให้ 'The Incredible Hulk' ออกมาโลดแล่นบนจอทีวีได้อย่างไร ผมได้เรียนรู้อะไรจากเขาเยอะมาก ซึ่งความสำเร็จของโชว์ภายใต้การกำกับของ Ken ถือเป็นการยืนยันอีกเสียงว่ามันสำคัญแค่ไหน ในการมอบหมายงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ให้อยู่ในมือคนที่เป็นศิลปินจริง ๆ"
Stan Lee ชอบที่จะปล่อยวางจากการทำตัวเป็นบอส แล้วให้พลังนั้นกับพนักงานที่อายุน้อยที่สุดแทน ซึ่งถ้าหากเป็นผู้นำคนอื่น (ที่หัวโบราณหน่อย) ก็อาจจะไม่กล้าลอง หรืออดคิดไม่ได้ว่าพนักงานยังอ่อนประสบการณ์ไปหรือเปล่า
อีกหนึ่งวิธีคือการให้เครดิตพนักงานโดยการสร้างหน้าให้เครดิตพนักงาน (Credit page) ขึ้นมาโดยเฉพาะ แม้จะฟังดูตรงไปตรงมา แต่ในความเป็นจริงมันก็ค่อนข้างหายากที่จะมีที่ไหนยอมทำ ซึ่งหน้านี้ก็จะมีเอกลักษณ์ในแบบของมัน เขียนด้วยโทนคนช่างพูดหน่อย ๆ อย่าง Written with Passion by Stan Le, Drawn with Pride by Jack Kirby, Inked with Perfection by Joe Sinnott และ Lettered with a Scratchy Pen by Artie Simek
เขายังกล่าวชมพนักงานบ่อยครั้งใน 'The Bullpen Bulletin' จดหมายข่าวรายเดือน ซึ่งการทำแบบนี้ ทำให้คนในองค์กรมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น มีความก้าวหน้าในสายงานมากขึ้น อย่างในกรณีช่วงกลางของอาชีพ (Mid-career) ของ Jack Kirby คู่หูที่ประสบความสำเร็จมาด้วยกัน Stan Lee ได้ตั้งชื่อเล่นให้ Jack ว่าเป็น 'King of Comics' อีกทั้งรายงานว่าเขาเป็น 'artists’ artist' ซึ่งปัจจุบัน Jack ก็ได้เป็นที่รู้จักกันในนามของ 'King of Comics' หรือ 'King Kirby' การประกาศแบบนี้ไม่เฉพาะเป็นผลดีกับพนักงานเท่านั้น แต่ยังทำให้นักอ่านรุ่นเยาว์ยกย่องศิลปินคนโปรดของพวกเขามากขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ยังทำให้พนักงานรู้สึกว่าตัวเองมีฐานะเป็น 'ศิลปินของมาร์เวล' ทำให้ผู้อ่านรู้สึกใกล้ชิดกับแบรนด์มากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมอาชีพคนเขียนการ์ตูน และผลักดันให้พนักงานประสบความสำเร็จในวงการ เรียกได้ว่าเป็นอีกแพชชั่นของ Stan Lee เลยก็ว่าได้
ไม่มีวิธีไหนจะดีไปกว่าการผลักดันพนักงานที่ดีที่สุดให้พัฒนาขึ้นไปอีก ในขณะเดียวกัน เราก็พยายามช่วยพัฒนาพนักงานที่อยู่ในระดับปานกลางด้วย เราพยายามทำให้ [การ์ตูน] สามารถสร้างสิ่งที่ควรจะเป็น อีกทั้งสร้างความถูกต้องมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
สำหรับเขาแล้วหนังสือการ์ตูนมีพลังที่จะเป็นภาพสะท้อนสังคมได้ดี สามารถเสียดสีประเด็นต่าง ๆ ได้อย่างเฉียบแหลม เขาหวังว่าสักวัน คนไม่อายที่จะหยิบการ์ตูนมาอ่านในที่สาธารณะ และเขาก็ไม่หยุดพยายามทำทุกอย่างเพื่อผลักดันเป้าหมายนั้นอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้เขายังแนะอีกว่าน่าจะมีวิชาเกี่ยวกับการ์ตูนในมหาวิทยาลัยด้วย
หากมีคนเรียนด้านภาพยนตร์ ทีวี ละครโอเปรา บัลเลต์ คอนเสิร์ต ประติมากรรม วาดรูป ศาสต์และศิลป์อื่น ๆ พวกเขาก็ควรศึกษาเรื่องการทำหนังสือการ์ตูนด้วย เพราะมันเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สามารถทำได้ทั้งการสร้าง ขัดเกลา ผลักดัน ปั้นแต่ง และฝึกความคิดของมนุษย์ได้เช่นเดียวกัน
เขายังแย้งอีกว่า ไม่มีเหตุผลใดที่การ์ตูนจะไม่ถูกมองว่าเป็นงานศิลปะ ซึ่งการที่เขามีทัศนคตินี้ ก็สามารถดึงดูดศิลปินที่ดีที่สุดที่ต้องการทำงานกับเขาได้จริง ๆ
Stan Lee นั้นไม่ได้เพอร์เฟกต์ และแน่นอนว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่เพอร์เฟกต์เช่นกัน อย่างไรก็ตามในท้ายที่สุดแล้ว เขาก็เป็นมืออาชีพในอุตสาหกรรมการ์ตูนและได้เปลี่ยนอุตสาหกรรมนี้ไปตลาดกาล สามารถทำให้การ์ตูนอยู่ในตำแหน่งที่ทุกคนยอมรับ สร้างและผลักดันพนักงานให้ประสบความสำเร็จหลายต่อหลายคน นับว่าเขาคือมรดกล้ำค่า ที่ไม่ว่าบอสคนไหน ๆ ก็ต้องยอมยกให้เขาเป็นสุดยอดบุคคลในตำนาน
ภาพ Coverโดย Gage Skidmore/Flickr
แปลและเรียบเรียงจาก What Stan Lee Knew About Managing Creative People by Sydney Finkelstein
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด