กว่า 8 สัปดาห์ของโครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD 2022 ที่จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ภายใต้คอนเซ็ปต์ Jumpstart your idea through entrepreneurial mindset ที่เป็นการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้จากความสำเร็จในระดับสากลและส่งเสริมการเติบโตทางธุรกิจให้กับสตาร์ทอัพในประเทศไทยให้สามารถสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางธุรกิจของตนเองและนำความรู้ดังกล่าวไปใช้อย่างเป็นรูปธรรม โดยโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยภายใต้ Stanford Thailand Research Consortium นำโดยรองศาสตราจารย์ Charles (Chuck) Eesley จากมหาวิทยาลัย Stanford ทำให้ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถเข้าถึงองค์ความรู้จากช่องทางของ Stanford Online ได้
โดยเนื้อหาของหลักสูตรมีทั้งเรียนออนไลน์ผ่าน Webinar และ Workshop ที่มี Mentor ผู้เชี่ยวชาญจากทั้งไทยและต่างประเทศมาช่วยให้คำแนะนำและถ่ายทอดประสบการณ์ให้แก่สตาร์ทอัพ และกิจกรรม Networking ที่จัดในรูปแบบออฟไลน์เพื่อให้ผู้เรียนได้พบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ก่อนจะมาสู่รอบ Pitching Day ณ อาคาร K+ Building
โดยผู้ชนะในโครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD 2022 ที่ได้รับรางวัลไปกว่า 3,000 ดอลลาร์ หรือราว 100,000 บาทได้แก่ คุณปริวรรต วงษ์สำราญ Founder of Project EV นี้ เจ้าของโปรเจกต์ อีวี (Project EV) ที่เป็นผู้ให้บริการโซลูชันแบบครบวงจรเพื่อดัดแปลงรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) ให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับธุรกิจขนส่งโลจิสติกส์ ที่ครอบคลุมถึงบริการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ศูนย์กระจายสินค้าหรือใช้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าของพันธมิตรทั่วประเทศ พร้อมทั้งมีศูนย์บริการซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงตลอดระยะเวลาการใช้งาน
การใช้รถยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงสามารถช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิงและลดภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) ให้กับบริษัทขนส่งโลจิสติกส์ได้อย่างมาก ปัจจุบัน โปรเจกต์ อีวี ให้บริการดัดแปลงรถกระบะไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ เหมาะสำหรับบริษัทขนส่งโลจิสติกส์ที่มีศูนย์กระจายสินค้าระยะการขนส่งไม่เกิน 250 กิโลเมตรต่อวัน สามารถคืนทุนภายในระยะเวลา 2 ปีครึ่ง ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลงได้ประมาณ 30.8 ตันต่อคันต่อปี ในรถกระบะที่วิ่งประมาณ 90,000 กิโลเมตรต่อปี ขณะนี้อยู่ในระหว่างการทดสอบประสิทธิภาพและสมรรถนะการใช้งานจริงร่วมกับบริษัทขนส่งโลจิสติกส์
คุณปริวรรตได้เผยถึงแนวคิดของโซลูชันในครั้งนี้ว่าหลายประเทศกำลังมุ่งสู่นโยบายการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) โดยมีการส่งเสริมการผลิตและการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศซึ่งเป็นเทรนด์ทั่วโลก ประเทศไทยเองก็มีนโยบาย 30@30 คือตั้งเป้าผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) รถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี ค.ศ. 2030 แต่ปัจจุบันประเทศไทยยังผลิตได้แต่รถยนต์สันดาปภายในและมีการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าเป็นส่วนใหญ่ จึงได้ริเริ่มโปรเจกต์นี้ขึ้นมาเพราะมองว่าประเทศไทยมีรถยนต์สันดาปภายในที่อายุการใช้งานมากกว่า 10 ปีเป็นจำนวนมากและเหมาะสมสำหรับการดัดแปลงเป็นรถยนต์ไฟฟ้า สามารถพัฒนาไปสู่การเป็นอุตสาหกรรมใหม่ของประเทศไทยได้ โดยโฟกัสที่รถกระบะเชิงพาณิชย์สำหรับองค์กรเป็นหลัก ซึ่งคุณปริวรรตเล่าว่าโปรเจกต์นี้เป็นการต่อยอดทางธุรกิจจากเทคโนโลยีการดัดแปลงรถยนต์ไฟฟ้าที่ทางมหาวิทยาลัยบูรพาได้พัฒนาขึ้นมาภายใต้การสนับสนุนของคณะทำงานพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและบุคลากรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC
“เราพบว่าบริษัทขนส่งโลจิสติกส์หลายแห่ง มีเป้าหมายมุ่งสู่การเป็น Green Logistics ชัดเจนมาก เพราะแรงกดดันจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนเชื้อเพลิงและภาษีคาร์บอน ในปีที่ผ่าน ๆ มา การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์จึงเป็นทางออกที่สำคัญ โดยเฉพาะรถกระบะที่แต่ละบริษัทฯมีอยู่จำนวนมาก
อีกทั้งความประทับใจกับหลักสูตรนี้ เรื่องแรกคือเนื้อหาหลักสูตรสามารถนำไปปรับใช้เป็นแนวทางการสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าได้จริงอย่างเป็นระบบ สามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้าจริง ๆ เรื่องที่สองคือ การให้ฟีดแบคที่ดีและตรงไปตรงมาจาก mentor ทำให้เราได้มีมุมมองที่แตกต่างจากที่เคยมอง มีหลายฟีดแบคที่ดีนำมาปรับใช้ในโปรเจกต์นี้ได้ดีขึ้นมาก
นอกจากนี้ทางโครงการฯ ได้มีการติดตามและกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้น ตั้งใจเรียนอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นโอกาสที่ดีจริง ๆ ที่ได้มาเข้าร่วมโครงการฯ นี้” คุณเต๊ะกล่าวทิ้งท้าย
หากมองไปที่ไอเดียของทั้ง 8 ทีมสุดท้ายที่มานำเสนอในวันนี้จะพบว่าสตาร์ทอัพไทยหลายเจ้าตอบรับ Trend และกระแสเรื่องความยั่งยืนกันเป็นอย่างมาก คุณเชษฐพันธุ์ ศิริดานุภัทร Managing Director, KLabs ได้ให้ความเห็นต่อนวัตกรรมในอนาคตต่อจากนี้ว่า มุมมองในฐานะกรรมการสำหรับปีนี้คือ มี Deep Tech, Green Tech, Health Tech เยอะมากขึ้น ไอเดียที่เป็นพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ค่อนข้างเยอะ
“ในอนาคตอันใกล้ Green Tech เป็นเทรนด์ที่เห็นได้อย่างชัดเจน เช่นเดียวกับ KBank ที่ต้องการไปในทางนั้นและชัดเจนขึ้นมาก ตอนนี้หลายภาคธุรกิจก็หันมาทำนวัตกรรมและ Solution ใหม่ ๆ ได้มากขึ้น ไม่ใช่เพียงการตอบโจทย์ลูกค้าแต่เป็นการตอบโจทย์ทางธุรกิจด้วย”
โดยนวัตกรรมที่ดีนั้น ไม่เพียงแค่ตอบรับกับเทรนด์หรือสามารถแก้ไขปัญหาของลูกค้าได้ แต่ยังต้องเริ่มตั้งแต่การตั้งโจทย์ของนวัตกรรมให้ถูกต้องและยังต้องมีแผนทางธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ได้จริง
“นวัตกรรมหรือโซลูชันที่ดีคือ Painpoint ต้องมีจริงเป็นเหมือนกระดุมเม็ดแรก เพราะหากมันไม่มีจริงที่ตามมาหลังจากนั้นจะผิดหมด และที่สำคัญต้องใหญ่ด้วย อันต่อมาคือเราจะทำเงินได้อย่างไร บางครั้งเราสร้างนวัตกรรมแล้วไม่ได้มีลูกค้าใช้ พอไม่ได้คิดแต่แรกแล้วมาคิดทีหลังมันจะไม่เวิร์ค”
คุณเชษฐพันธุ์ใช้สองข้อนี้ในการตัดสินในการพิชชิ่งวันนี้ ซึ่งส่วนตัวคุณเชษฐพันธุ์ชอบ Business Model ที่เรียบง่าย (Simple) อธิบายแล้วใคร ๆ ก็เข้าใจ เพราะโมเดลที่อธิบายยากก็มีโอกาสที่จะนำไปใช้จริงไม่ได้
สำหรับในการสร้างธุรกิจนั้นต้องสนใจที่ Impact และเทรนด์ ESG นั้นก็เป็นสิ่งที่สังคมกำลังให้ความสำคัญ ธุรกิจจึงต้องให้ความสำคัญกับประเด็นด้าน ESG โดยคุณธนพงษ์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการ, Beacon VC ได้เปิดเผยว่า “โครงการนี้ทำมาเป็นปีที่ 3 เน้นให้ความรู้ด้าน Academic เพื่อให้สตาร์ทอัพเริ่มต้นได้อย่างถูกต้องและเติบโตอย่างมีคุณภาพ ปัจจุบันสภาพตลาดเปลี่ยนไปมาก สตาร์ทอัพต้องเริ่มคิดใหม่ เช่น อาจต้องคิดเรื่องเกี่ยวกับ ESG ให้ความสำคัญมากขึ้น เพราะเป็นจุดขายสร้างความแตกต่างได้ และตอบโจทย์นักลงทุน
เกือบทุกบริษัทในประเทศไทยให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG มากขึ้น โดยทาง Beacon VC ก็เน้นการลงทุนในเรื่องที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องพื้นฐานอยู่แล้ว ที่จริงในเรื่องของ ESG จะมี Governance อยู่ด้วย ซึ่งทาง KBank ให้แนวทางกับ Beacon VC อยู่แล้วที่เราต้องลงทุนในบริษัทที่มี Governance ดี ตอนนี้กองทุนในต่างประเทศที่ได้รับความนิยมมากขึ้นคือ กองทุนที่เน้นลงทุนในเรื่องเกี่ยวกับ ESG”
“สิ่งที่เราให้ความสำคัญคือเรื่อง Governance ที่นักลงทุนจะมองในการลงทุน และน่าจะเป็นแนวทางสำคัญของ VC อื่น ๆ เช่นกัน”
สำหรับโครงการ KATALYST ในปีต่อต่อไป คุณธนพงษ์กล่าวว่า เราสนับสนุนโครงการนี้เพราะเราเชื่อว่าการให้ความรู้จะสามารถต่อยอดให้ Startup เหล่านี้ได้ และเติบโตเป็นทางเลือกใหม่ ๆ ให้กับ Ecosystem ในประเทศไทยได้ และยังมีแผนที่จะทำโครงการ KATALYST ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ทุกปี เพราะถึงแม้จะเป็นโครงการที่ไม่ได้ Impact โดยตรงกับธุรกิจของธนาคาร แต่มองว่าโครงการนี้ยังมีประโยชน์ต่อสังคมไทย โดยส่วนที่น่าประทับใจคือผู้เข้าร่วมโครงการทุกคนในปีก่อนหน้าก็ยังคงให้ความช่วยเหลือ แม้จะจบโครงการแล้ว ซึ่ง 8 ทีมสุดท้ายในปีนี้เองก็มีศักยภาพมากพอที่จะเติบโต จนเข้าไปอยู่ในพอร์ตการลงทุนของ Beacon VC ได้ในอนาคตเช่นกัน
“ซึ่งในอนาคต Beacon VC มีแผนจะเปิดกองทุนที่ลงในเรื่อง ESG โดยตรงเน้นโครงการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมหรือสังคมที่ KBank สามารถนำไปต่อยอดได้” คุณธนพงษ์กล่าวทิ้งท้าย
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด