ในยุคที่ Big Tech กำลังสั่นคลอน Can Big Tech Be Disrupted? | Techsauce

ในยุคที่ Big Tech กำลังสั่นคลอน Can Big Tech Be Disrupted?

ครึ่งปีหลังนี้ Big Tech หลายเจ้ายังมีคงการปรับธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ภาพรวมอุตสาหกรรมมีทิศทางที่ไม่สวยงามนัก หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถูกมองว่ามีความเสี่ยง ไตรมาสนี้ Big Tech กำลังเผชิญกับภาวะขาดทุนอย่างหนัก มูลค่าตลาดที่หายไปกว่า 2.55 แสนล้านดอลลาร์ อีกทั้งการตรวจสอบจากภาครัฐและหน่วยงานกำกับดูแลที่กวดขันมากขึ้นทั่วโลก 

ล่าสุดอ้างอิงจาก NASDAQ Composite Index ดัชนีสะท้อนราคาหุ้นของบริษัทในสหรัฐฯ หุ้นบริษัทเทคโนโลยีและกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย อย่าง Apple, Microsoft, Amazon, Meta (Facebook), Alphabet (Google), Tesla และ Nvidia โดยนับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2022 ภาพรวมดัชนีปรับตัวลดลงกว่า 33.18%  ปีนี้ดูจะย่ำแย่ลงไปอีกสำหรับภาคธุรกิจที่เคยเป็นที่รัก 

บทความนี้ขอพาย้อนอ่านความเห็นน่าสนใจที่ว่ายักษ์ใหญ่เทคโนโลยีอย่าง Facebook หรือ Meta , Amazon, Apple, Google หรือ Alphabet , Microsoft และ Netflix ที่ต่างประสบความสำเร็จและทำเงินได้มากมายมหาศาลนั้นก็ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตไม่ต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสูญเสียมูลค่าและที่ยืนในตลาดให้กับผู้เล่นหน้าใหม่ๆ 

ในยุคที่ Big Tech กำลังสั่นคลอน Can Big Tech Be Disrupted?

บทความที่เกี่ยวข้อง 

ในบทสัมภาษณ์นี้ Alison Beard บรรณาธิการบริหารของ HBR พูดคุยกับ Jonathan Knee อาจารย์จาก Columbia Business School และวาณิชธนกิจผู้ช่ำชองที่เชี่ยวชาญด้านสื่อและเทคโนโลยี ผู้เขียน The Platform Delusion: Who Wins and Who Loses in the Age of Tech Titans ที่กล่าวไว้ว่า “แม้แต่มหาอำนาจทางดิจิทัลก็ต้องเผชิญกับภัยคุกคาม” ไม่ว่าจะจากสตาร์ทอัพหรือคู่แข่งหน้าใหม่ ในการสนทนายังวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่และกลยุทธ์ที่พวกเขาอาจต้องใช้เพื่อป้องกันตนเอง

Can Big Tech Be Disrupted?

หากกล่าวถึง Big Tech ที่ไม่เพียงแต่พวกเขาจะก้าวล้ำด้านเทคโนโลยีและสร้างรายได้มหาศาล ผู้คนจำนวนมากในอุตสาหกรรม ตลอดจนนักวิชาการและนักลงทุน มองไปในทางเดียวกันว่าบริษัทแพลตฟอร์มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ได้รับประโยชน์อย่างสม่ำเสมอจากเครือข่ายสังคมหรือ Network Effect ซึ่งขับเคลื่อนพวกเขาไปสู่การครอบงำโลกอย่างไม่ลดละ แต่การสะสมฐานข้อมูลผู้บริโภคและต่อยอดไปไม่สิ้นสุดนั้น ดูจะไม่เป็นแบบนั้นอีกต่อไป 

Network Effect ที่ไม่จีรัง

เดิมทีแนวคิดเรื่อง Network Effect ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ช่วยบริษัทด้วยการกระจายต้นทุนคงที่ ในกรณีที่ไม่มีค่าใช้จ่ายคงที่จำนวนมาก Network Effect จะดึงดูดการแข่งขันจากแพลตฟอร์มใหม่ที่พบว่าพวกเขาสามารถสร้างจุดคุ้มทุนได้แม้ในระดับการใช้งานที่ต่ำมาก เป็นการสเกลแบบใหม่ที่สร้างความได้เปรียบต่อคู่แข่ง แต่สิ่งนี้อาจได้ผลแค่ในช่วงแรกสำหรับเจ้าตลาดเท่านั้น 

Facebook หรือ Meta อาจจะอยู่ในแนวคิดนี้ ยิ่งมีผู้ใช้มากเท่าไหร่ ประสบการณ์การเชื่อมต่อและแบ่งปันก็จะดียิ่งขึ้นเท่านั้น สำหรับ Microsoft ที่เน้นระบบปฏิบัติการเป็นธุรกิจเครือข่ายแบบดั้งเดิม ก็อาจจะเข้าข่าย แต่หากพิจารณาดูดีๆ เครือข่ายการใช้งานไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนหลักของความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทส่วนใหญ่เหล่านี้

ความสำเร็จดั้งเดิมของ Apple, Google, Amazon และ Netflix ส่วนใหญ่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลกระทบของเครือข่ายเป็นหลักแต่ขึ้นอยู่กับการใช้งาน Apple นำเสนอสินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจค้าปลีกเดิมของ Amazon ซึ่งยังคงคิดเป็นรายได้ส่วนใหญ่ Google เองมีต้นทุนคงที่จำนวนมหาศาล Netflix เช่นกัน บริษัทเหล่านี้ทั้งหมดจะอยู่หรือไปด้วยหลักการเดียวกันคือ ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งแต่ละธุรกิจมีข้อได้เปรียบที่แตกต่างกันและแต่ละรายก็มีช่องโหว่ของตัวเอง

เมื่อคุณครองส่วนใดส่วนหนึ่งของตลาดอย่างท่วมท้นแล้ว ก็จะมีโอกาสน้อยที่จะเติบโตในรูปแบบอื่นที่ต่างไปจากเดิม ยากที่จะสร้างวัฒนธรรมที่จะปรับให้เหมาะสมเพื่อค้นหาวิธีใหม่ๆ

  • เรามาเริ่มที่ Google  

Knee เรียก Google ว่ายักษ์ใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุดแต่กลับแย่ในระดับที่น่าแปลกใจ “แม้ว่า Google จะไม่ใช่เสิร์ชเอ็นจิ้นที่แรก แต่ก็เป็นเสิร์ชเอ็นจิ้นที่แรกและที่เดียวที่มีสเกลขนาดใหญ่ สำคัญคือ Google ยังมีพอร์ตโฟลิโอที่ดีที่สุดที่เสริมความได้เปรียบในการแข่งขัน” เขาเคยเชื่อแบบนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ผลิตภัณฑ์หลายอย่างล้มเหลว สมาร์ทโฟน Nexus ไปจนถึง Google Glass และความพยายามที่จะท้าทายยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีรายอื่นโดยตรงก็พังทลายลงอย่างสิ้นเชิงหรือล้าหลังอย่างมาก Google+ เป็นความท้าทายในช่วงสั้นๆ สำหรับ Facebook และ Google Cloud ยังคงตามหลัง Azure ของ Microsoft และ Amazon Web Services 

  • Facebook 

Facebook เคยได้ประโยชน์จากการเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กที่ใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมด้วยการลงทุนอย่างชาญฉลาด การเข้าซื้อ Instagram ตามด้วย WhatsApp มาครอบครองสร้างเครือข่าย ขยายฐานข้อมูลผู้ใช้และเสริมความเหนียวแน่นของลูกค้า อย่างไรก็ตามผ่านมาเกือบ 10 ปีต่อมายังคงไม่ได้ประโยชน์และขาดรูปแบบรายได้ที่แท้จริง บริษัทยังเสียเงิน 2 พันล้านดอลลาร์ที่ใช้ไปกับ Oculus ธุรกิจ VR ตามด้วยการเอาจริงเอาจังใน Metaverse ขณะที่ถูกคัดค้านจากรอบข้าง 

การถูกตำหนิถึงบทบาทในการเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดและความเกลียดชังทางออนไลน์ที่ทำให้สูญเสียความน่าเชื่อถือในหมู่ผู้ใช้ ผู้โฆษณา และเครือข่ายสังคมรุ่นต่อไป หากตัดภาพมาที่ปัจจุบันในปี 2022 ซึ่งเต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวของ Meta คงปฏิเสธไม่ได้ว่าบริษัทกำลังเจอกับสภาวะไม่มั่นคงอย่างหนักกว่าอดีต 

  • Amazon 

Amazon ไม่เพียงต่อสู้กับคู่แข่งค้าปลีกในประเทศอย่าง Walmart แต่ยังต้องแบกภาระยอดขายออนไลน์กับผู้ผลิตผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การค้าปลีกยังคงเป็นธุรกิจที่ยากและมีการแข่งขันสูง ความได้เปรียบที่ยั่งยืนมีจำกัด การสร้างธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิมเพื่อขยายพอร์ทโฟลิโอที่หลากหลายดูเหมือนจะทำให้ Amazon ตกที่นั่งลำบาาก ถึงแม้ว่า Amazon Web Services จะช่วยให้สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันสร้างผลกำไรส่วนใหญ่ของบริษัทโดยรวมของธุรกิจซึ่งตรงกันข้ามกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ  อ่านเพิ่มเติมได้ที่ เกิดอะไรขึ้นกับ Amazon ยักษ์ใหญ่ค้าปลีก ปลดพนักงาน 10,000 คน สูญเสียมูลค่าตลาดล้านล้านเหรียญ

  • รุ่นเก๋าอย่าง Apple และ Microsoft  

Personal technology หรือเทคโนโลยีส่วนบุคคลเป็นธุรกิจที่เฟื่องฟูก่อนยุคเทคโนโลยีขนาดใหญ่  แม้ว่า Apple ไม่ได้เป็นผู้นำส่วนแบ่งการตลาดในหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์หลักอย่างสมาร์ทโฟน แต่ก็เป็นผู้ทำเงินรายใหญ่ที่สุด ซึ่งทำกำไรได้มากกว่าอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนอื่นๆ รวมกัน แถมมีมูลค่าตลาดสูงสุดมากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ Knee ระบุว่า ระบบนิเวศของ App Store และ Apple ได้สร้างมูลค่าที่ไม่ธรรมดาให้กับผู้ถือหุ้นโดยการสร้างรายได้จากกลุ่ม High-End Niche แต่นี่ก็เป็นดาบสองคม

ความเชี่ยวชาญของ Apple อยู่ที่การพัฒนาอุปกรณ์ที่ปฏิวัติวงการและทันสมัย แต่ ‘ผู้สร้าง’อุปกรณ์ที่กำหนดบริษัทได้หายไปแล้ว จากการเปิดเผยถึงอุปกรณ์นวัตกรรมอื่นๆที่สนใจ บริษัทตระหนักดีว่าจำเป็นต้องวางแผนสำหรับอนาคต แม้ว่าจะมีการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม แต่หากไม่มีสิ่งที่ปฏิวัติวงการรุ่นต่อไปก็อาจจะสร้างปัญหาแก่ Apple ได้ 

Microsoft ซึ่งแตกต่างจากยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีรายอื่นๆ มุ่งเน้นที่ B2B มากกว่าตลาดผู้บริโภคเสมอ หลังจากพ่ายแพ้และยกตลาดระบบปฏิบัติการมือถือให้กับ Google และ Apple บริษัทกลับมามุ่งเน้นที่การปรับปรุงซอฟต์แวร์หลักและขยายขอบเขตฐานลูกค้าองค์กร บริษัทได้สร้างความน่าเชื่อถือโดยใช้ข้อมูลจากแอปพลิเคชันบนคลาวด์เพื่อเพิ่มการตอบสนองและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ต้องเผชิญกับคู่แข่งรายใหม่ที่ทั้งใหญ่และว่องไว เช่น Salesforce ซึ่งการเข้าซื้อกิจการ Slack ที่ถือว่าคุกคามความทะเยอทะยานของ Microsoft เป็นอย่างมาก 

  • Netflix

ถือเป็นผู้เล่นรองเมื่อเทียบกับ FAANG ที่เหลือ [Facebook, Amazon, Apple, Netflix และ Google] แต่มักถูกพูดถึงควบคู่ไปกับรายอื่น ๆ เนื่องจากเป็น สตรีมมิงอันดับหนึ่ง และยังมีวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มข้น แต่กระนั้นรูปแบบธุรกิจของมันไม่ได้ใกล้เคียงความแข็งแกร่งเท่ากับรูปแบบที่ช่องเคเบิลแบบดั้งเดิม ครั้งหนึ่งธุรกิจเหล่านั้นมีอัตรากำไรสูงอย่างไม่น่าเชื่อเพราะได้ประโยชน์จากสัญญาระยะยาวและข้อจำกัดด้านกำลังการผลิต ในทางกลับกัน สตรีมเมอร์ที่ส่งตรงถึงผู้บริโภคอย่าง Netflix ต้องเผชิญกับการเลิกราของลูกค้าอย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมกับการเข้ามาของผู้แข่งขันรายใหม่อย่างต่อเนื่องอย่าง Apple และ Amazon และผู้ให้บริการรายเก่าอย่าง HBO, Disney, NBC (ร่วมกับ Peacock) และ CBS (พร้อม Paramount+)

คำแนะนำแก่ผู้บริหารหรือผู้ประกอบการหน้าใหม่

Knee แนะนำการก้าวสู่ตลาดว่า ให้จริงจังกับค้นหาปัญหาของลูกค้ากลุ่มที่สามารถระบุตัวตนได้ชัดเจนและจัดการได้ เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ คุณจะสามารถสร้างขนาดและได้รับความไว้วางใจได้อย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่าง 1stDibs ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายของเก่า งานศิลปะ และเฟอร์นิเจอร์จากดีไซเนอร์สุดหรู หรือ Etsy ที่ซึ่งผู้คนขายงานฝีมือทำมือ ทั้ง eBay และ Amazon พยายามโจมตีตลาดเหล่านั้น ทั้ง 1stDibs หรือ Etsy ไม่ต้องการที่จะสำรวจตลาดที่กว้างกว่านี้ โฟกัสที่ลูกค้าของคุณ 

TikTok เป็นอีกตัวอย่างที่ดีของสตาร์ทอัพที่มีผลิตภัณฑ์เฉพาะ (วิดีโอสั้น) และกลุ่มประชากร (Gen Z และตอนนี้เป็น Alpha) ที่ทำให้สามารถแข่งขันกับแพลตฟอร์ม Facebook, Twitter และ YouTube ทั้งหมดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหากก่อนหน้านี้ Microsoft พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับ Teams ก็จะไม่มีใครกล้าลองใช้ แต่วันนี้ต้องแข่งขันกับ Slack ในเครื่องมือการทำงานร่วมกันเป็นทีมและการซูมเข้าในการประชุมทางวิดีโอ

เมื่อคู่แข่งตัวเล็กแกร่งขึ้น 

Knee กล่าวถึงแง่มุมการอยู่รอดเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว ว่า Big Tech จำเป็นต้องคิดค้นและเปิดตัวผลิตภัณฑ์เวอร์ชันใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของคุณ ในขณะที่เจาะจงให้บริการลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น จัดการระบบนิเวศด้วยวิธีที่สร้างสรรค์มากขึ้น เพื่อให้ผู้คนในห่วงโซ่คุณค่ารู้สึกมีส่วนได้เสียในความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะกังวลว่าบริษัทจะลีนหรือปลดกำลังคน สำคัญ คือ ทำงานเชิงรุกและรอบคอบในการมีส่วนร่วมกับรัฐบาลและช่วยให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายนโยบาย ไม่เช่นการถูกตรวจสอบและเฝ้าระวังที่เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆจะยิ่งขัดขวางการเติบโตมากเท่านั้น 

Big Tech เหล่านี้มีทรัพยากรที่น่าทึ่ง ซึ่งอาจช่วยแก้ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของสังคมได้ รวมถึงปัญหาที่พวกเขามีส่วนร่วมในการสร้าง ไม่ว่าจะร่วมกันหรือแยกกัน ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีควรร่วมมือกับภาครัฐในโครงการที่ในระยะสั้นอาจมีค่าใช้จ่ายทางการเงินและจำกัดความยืดหยุ่น แต่จะให้ผลประโยชน์ในระยะยาว 

และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการฉายมุมมองที่น่าสนใจในปัจจุบันและอนาคตของผู้เล่นขนาดใหญ่ที่รายรอบไปด้วยตัวแสดงมากมาย ติดตามต่อได้ใน The Platform Delusion: Who Wins and Who Loses in the Age of Tech Titans 


อ้างอิงข้อมูลจาก 

Tech Stocks Are Falling. That’s A Bad Sign For The Economy

The Fall of Big Tech Is Boosting Stock Quants on Wall Street

A $3 trillion loss: Big Tech’s horrible year is getting worse

Can Big Tech Be Disrupted?

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ไทยไร้สินค้าดาวรุ่ง เสี่ยงล้าหลัง โลกลืม: บทวิเคราะห์เศรษฐกิจไทยในวันที่ส่งออกอ่อนแรง

ภาคการส่งออกเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยตลอดระยะเวลา 30 กว่าปีที่ผ่านมา แต่ช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์โควิด-19 ภาคการส่งออกไทยดูจะ ‘อ่อนแรง’ และอาจทำให้ไทยเสียจุดยืนในตลาดโลก...

Responsive image

Bloomberg รายงาน Apple และ Google กำลังคุยกัน ดึง Gemini มาใช้ใน iPhone

สำนักข่าว Bloomberg รายงาน Apple กำลังเจรจากับ Google เพื่อดึง Gemini มาใช้กับ iPhone ซึ่งถ้าสำเร็จจะกลายเป็นดีลใหญ่ที่เขย่าอุตสาหกรรม AI และสำหรับทั้งสองบริษัท...

Responsive image

KXVC ทุ่มกว่า 100 ล้าน ลงทุน ContributionDAO รอบ Seed Funding ต่อยอดสินทรัพย์ดิจิทัล-Web3 สู่ระดับโลก

KXVC ร่วมกับกลุ่มนักลงทุนชั้นนำ ลงทุนระยะเริ่มต้นใน ContributionDAO มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท พร้อมผลักดันโปรเจกต์จากภูมิภาคสู่ระดับโลก...