ขึ้นเขา อาบแดด หรือ รับลมชายทะเล พร้อมแล็บท็อปคู่ใจ การทำงานยุคใหม่ของ Digital Nomad ที่ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดก็สามารถทำงานได้หากมีอินเทอร์เน็ต หลายประเทศทั่วโลกตื่นตัวและเห็นโอกาสในกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นและระดับประเทศ จึงออกไอเดีย "Digital Nomad Visa" ที่เสนอสิทธิประโยชน์และอำนวยความสะดวกด้านต่าง ๆ เพื่อดึงดูดกลุ่มคนเหล่านี้มายังประเทศตน
หากย้อนกลับไปในช่วงก่อนปี 2020 จะพบว่าหลายบริษัทมีการปรับตัวทำ Digital Transformation นำองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีและเครื่องมือต่าง ๆ มาปรับใช้เพื่อเชื่อมต่อ Digital Connectivity ระหว่างคนในองค์กร โปรแกรมประชุมออนไลน์ทำให้เราสามารถพูดคุยกัน วางแผนงานกันได้โดยใช้คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของตนเอง จนหลายคนตั้งคำถามว่า “การทำงานในสำนักงานยังจำเป็นหรือไม่” จนกระทั่งทั่วโลกอยู่ในช่วงล็อกดาวน์จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ทำให้หลายบริษัทได้เรียนรู้ว่าการเข้าออฟฟิศพร้อมหน้าพร้อมตาอาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดเสมอไป และทีมงานยังคงทำงานได้ดี ถึงแม้จะนั่งทำงานจากที่ใดหากมีระบบรองรับที่ดี
ปัจจุบันหลายบริษัทเสนอทางเลือกให้พนักงานสามารถ “Work From Anywhere” หรือทำงานได้จากทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือแม้กระทั่งอยู่ในต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ เช่น บริษัท Zapier, GitLab และ Doist ได้นำโมเดลการทำงานระยะไกล (All-Remote) ทั้งหมดมาใช้ Twitter และ Shopify ที่ใช้แนวทาง “Remote-First” คู่กับการทำงานแบบ Physical Offices หรือล่าสุดอย่าง Google ที่อนุญาตให้พนักงานทำงานจากที่ใดก็ได้ในปี 2021
ทุกวันนี้จำกัดความของคำว่า “Anywhere” ขยายขอบเขตกว้างขวางขึ้นเรื่อย ๆ ไปสู่อีกระดับจนเกิดแนวทางการทำงานรูปแบบใหม่ที่อาศัยการทำงานจากที่ใดก็ได้โดยเลือกจุดหมายปลายทางที่เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการท่องเที่ยวไปในตัวหรือที่เรียกว่า “Work-Cations” เทรนด์ใหม่ที่มีความยืดหยุ่นและยังทำให้คนทำงานได้เพลิดเพลินผ่อนคลายกับบรรยากาศที่ได้เลือกสรรด้วยตนเอง จนกระทั่งเกิดนิยามของคำว่า “Digital Nomad” ที่ถูกนำมาเรียกคนที่มีรูปแบบการทำงานจากที่ไหนก็ได้จากสักมุมหนึ่งบนโลกเพียงเชื่อมต่อผ่านระบบออนไลน์
Prithwiraj (Raj) Choudhury นักวิจัยจาก Harvard Business ได้เล่าว่า ในปัจจุบันประเทศต่างๆ ทั่วโลกเห็นความสำคัญและแข่งขันกันเพื่อดึงดูดกลุ่มคนเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศภาคการท่องเที่ยวประสบปัญหา เริ่มเสนอวีซ่าหรือสิทธิประโยชน์เฉพาะให้กลุ่มคนที่ทำงานจากระยะไกลเพื่อดึงดูดให้เข้ามา Work-Cationsในประเทศมากขึ้น เช่น การขยายวีซ่าทำงานระยะสั้นให้อยู่ต่อได้นานยิ่งขึ้น การยกเว้นภาษีเงินได้ท้องถิ่นสำหรับการเข้าพัก
ตัวอย่างเช่น โปรตุเกส เสนอวีซ่าพำนักแบบต่ออายุได้สองปีสำหรับคนงานที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าพวกเขามีงานที่ต้องตลอดระยะเวลาที่พำนักอยู่ นอกจากนี้ยังมีออสเตรเลีย สาธารณรัฐเช็ก สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เอสโตเนีย เยอรมนี อิตาลี สเปน บราซิล เป็นต้น สำหรับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ล่าสุด อินโดนีเซีย ที่ประกาศให้วีซ่าสำหรับการทำงานทางไกล 5 ปี การงดเว้นภาษี และส่งเสริมการพักผ่อนด้านจิตใจ Spiritual Retreat อย่างเต็มที่ โดยใน ไทย บ้านเรานั้น มีการออกมาตรการรองรับกลุ่ม Digital Nomad โดยอนุญาตการตรวจลงตราให้กับชาวต่างชาติที่ประสงค์จะเดินทางมาพำนักแบบระยะยาว (Long Stay) ในรูปแบบ “นักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist Visa (STV)” ให้สามารถอยู่ในไทยได้ครั้งละ 90 วัน และอยู่ต่อได้อีกสองครั้งหรืออยู่สูงสุดได้ไม่เกิน 270 วัน เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในประเทศ
Digital Nomad Visa, Remote Work Visa, Freelancer Visa จะถูกเรียกแตกต่างกันออกไป มีเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ในบางประเทศก่อนจะได้รับวีซ่าเหล่านี้จำเป็นต้องมีหลักฐานแสดงรายได้และรายงานแจ้งการทำจ้างงานทางไกลหรือ Remote Employment ประกันการเดินทางเพื่อแสดงประกอบการเดินทาง พวกเขายังมีข้อกำหนดด้านรายได้และการจ้างงาน เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ถือวีซ่าเหล่านี้สามารถเลี้ยงดูตนเองได้ภายในท้องถิ่นของประเทศนั้น ๆ
ในช่วงระยะสองปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าการเดินทางจับจ่ายใช้สอยของเหล่า Digital Nomad ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้กับท้องถิ่น มากไปกว่านั้นยังเป็นแนวทางที่ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาพื้นที่ กระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกกลุ่มคนเหล่านี้ เป็นแนวทางที่ Win-Win ต่อผู้ที่มาทำงานและชุมชนโดยรอบ นอกจากนี้ รู้หรือไม่ว่า Digital Nomad Visa ยังส่งผลดีกับประเทศและท้องถิ่นด้านอื่น ๆ อีก
ยกตัวอย่างเช่น ปัจจุบันคนจำนวนมากที่มีเป้าหมายการเดินทางไปยังต่างประเทศเพื่อทำงานหรือเพื่อจุดประสงค์ด้านต่าง ๆ ซึ่งส่วนมากวีซ่านักท่องเที่ยวมักจะหมดอายุหลังจาก 30-90 วันหรือต้องประสบปัญหาการดำเนินการขั้นตอนจำนวนมากที่ใช้เวลานาน เพราะนโยบายการเข้าเมืองหรือการรอดำเนินการขอวีซ่าที่ยืดเยื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ต้องรอการอนุมัติวีซ่าเป็นเวลานานและมีอัตราการปฏิเสธเพิ่มขึ้นสูงขึ้น ซึ่งการระบาดใหญ่ที่ทำให้ปัญหาเหล่านี้เพิ่มขึ้น เพราะ การจำกัดการเดินทาง การปิดสถานทูตในต่างประเทศ Digital Nomad Visa จะช่วยให้สามารถเข้าถึงประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้ในระยะสั้น
งานวิจัย ที่ศึกษาเกี่ยวกับ Geographic Mobility And Innovation หรือการเคลื่อนย้ายและนวัตกรรมทางภูมิศาสตร์แสดงให้เห็นว่าการเดินทางระยะสั้นแบบ Short-Term Travel และแม้แต่การเดินทางแบบ Co-Location กับเพื่อนร่วมงาน สามารถช่วยให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลและทรัพยากรที่สามารถช่วยพัฒนาแนวคิดและโครงการใหม่ ๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งพนักงานที่ทำงานนอกสถานที่และต่อองค์กรของตน
นอกจากนี้ยังมีงานศึกษาที่ศึกษาว่า แรงงานข้ามชาติที่มีทักษะความสามารถเฉพาะจะนำความรู้เฉพาะตัวที่ได้จากบริบททางวัฒนธรรมของประเทศตนกลับมาสู่ชุมชนเจ้าบ้าน มากไปกว่านั้น ท้องถิ่นจะสามารถมีส่วนร่วมในการผสมผสานความรู้ในพื้นที่เข้ากับความรู้จากคนต่างถิ่น หรือที่เรียกว่า Knowledge Recombination ด้วย โดย Dany Bahar และ Hillel Rapoport ผู้วิจัยระบุว่า ไม่เพียงแต่ "นำเข้า" ความรู้แต่ยังไปถึงขั้นสร้างสรรค์นวัตกรรมและการจดสิทธิบัตร โดยเฉพาะในประเทศที่เป็นต้นกำเนิดขององค์ความรู้ (Home Countries Specialize)
รูปแบบการทำงานของ Digital Nomad ดังกล่าวสร้างประโยชน์ที่เกื้อหนุนกันและกันทั้งต่อตัวคนทำงาน บริษัท และท้องถิ่นซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง สุดท้ายนี้ Digital Nomad หรือคนที่เลือก Work From Anywhere อาจมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาที่ดียิ่งขึ้นในทุก ๆ ด้านนอกเหนือจากด้านเศรษฐกิจ แต่ยังรวมถึงประโยชน์ต่อผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่าง ๆ และการสร้างคลัสเตอร์เทคโนโลยีในมุมต่าง ๆ ทั่วโลก
ที่มา
How “Digital Nomad” Visas Can Boost Local Economies
21 Countries With Digital Nomad Visas (For Remote Workers)
Migrant Inventors and the Technological Advantage of Nations
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด