ในช่วงที่ผ่านมาวงการธุรกิจเทคโนโลยีและการลงทุนใน Tech Startup กำลังตกอยู่ในช่วงขาลง เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจระดับมหภาคได้ส่งผลกระทบต่อบริษัทต่างๆ สั่นคลอนให้เกิดความหวาดกลัวจากนักลงทุน ดังที่เราจะเห็นการเทขายหุ้นเทคโนโลยีและกระแสของบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลกเลิกจ้างพนักงานในอัตราที่เพิ่มสูงขึ้นในระดับที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น Meta, Twitter หรือ Netflix ซึ่งสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า สตาร์ทอัพที่บูมในช่วง Covid-19 ที่ผ่านมาดูเหมือนจะสิ้นสุดวงจรแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Edtech ไปจนถึง E-commerce และ Healthtech
จนบรรดา VC อย่าง Y Combinator, Target Global, OTB Ventures, TheVentureCity รวมถึง Sequoia Capital ได้ออกโรงเตือนให้ทุกคนเตรียมรับสภาพ Downturn อย่างจริงจัง อย่างไรก็ตามยังมีนักลงทุนบางกลุ่มที่ยังมั่นใจที่จะวางเดิมพันในภาคเทคโนโลยีต่อไป โดยที่ไม่กลัวจะประวัติศาสตร์ของวงการสตาร์ทอัพจะซ้ำรอเดิมเหมือนเหตุการณ์ Dot-com bubble ปี 2001 สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงสภาพแวดล้อมและแนวทางในการระดมทุนของเหล่า VC ที่น่าติดตามหลังจากนี้
เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พนักงานจาก Thrasio สตาร์ทอัพยูนิคอร์นด้านสินค้าอุปโภคและบริโภคได้รู้สึกถึงวิกฤติทางการเงินที่กำลังใกล้เข้ามา หลังจากได้รับอีเมล์ที่ส่งไปทั่วทั้งบริษัทว่า Thrasio ตัดสินใจที่จะลดขนาดทีมงานลง และทำการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ เพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทจะสามารถเติบโตต่อไปได้ในโลกธุรกิจ
ซึ่งนับตั้งแต่มีการประกาศลดจำนวนของพนักงานลง 20% นั้น Thrasio กลายเป็นเหยื่อในช่วงเวลาของการเลิกจ้างพนักงานในอุตสาหกรรมสตาร์ทอัพเทคโนโลยี หลังจากอัตราการเลิกจ้างของหลาย ๆ บริษัทนั้นอยู่ต่ำกว่า Thrasio อย่างมาก เช่น Reef Technology ผู้ให้บริการเทคโนโลยี Ghost Kitchen ได้ประกาศที่จะเลิกจ้างพนักงานเพียง 750 คน ซึ่งคิดเป็น 5% ของพนักงานทั้งหมดเท่านั้น
Layoffs.fyi ซึ่งได้ทำการสำรวจจำนวนของคนที่ตกงานในบริษัทสตาร์ทอัพเทคโนโลยีทั่วโลกมาตั้งแต่ช่วงการระบาดครั้งใหญ่เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2020 ได้รายงานว่า ตั้งแต่เดือนเมษายนจนถึงพฤษภาคมมีจำนวนของพนักงานที่ถูกเลิกจ้างกว่า 20,514 คน บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานในภาคของธุรกิจสตาร์ทอัพเทคโนโลยีนั้นแย่ลงไปมาก เมื่อเทียบกับสถานการณ์การเลิกจ้างพนักงานในช่วงวิกฤติโรคระบาดเมื่อเดือนเมษายน-มิถุนายนในปี 2020 และการเลิกจ้างส่วนใหญ่มักจะเกิดในสตาร์ทอัพอเมริกาทั้งสิ้น
ก่อนหน้านี้ CB Insights รายงานว่า จำนวนของบริษัทสตาร์ทอัพเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเหมือน 2 ปีที่แล้ว การประเมินมูลค่าของสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน นี่จึงเป็นสาเหตุที่บริษัท VC และธุรกิจอื่น ๆ ต้องแข่งขันกันชิงหุ้นเพื่อที่จะทำกำไรให้ได้ในการลงทุนใน series A และบรรดาสตาร์ทอัพที่ระดมทุนได้เป็นจำนวนมากก็จะใช้เงินทุนที่ได้รับมาเพื่อดึงผู้ที่มีความสามารถจากบริษัทใหญ่ ๆ มาร่วมสนับสนุน แต่ตอนนี้สถานการณ์ของการผลิตยูนิคอร์นนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
Jeff Richards หุ้นส่วนผู้จัดการของ GGV Capital ได้กล่าวว่า “การที่ตลาด IPO หยุดงะชัก และ Nasdaq ด้านเทคโนโลยีลดลงประมาณ 30% ตั้งแต่ต้นปี รวมถึงการเสนอขายหุ้นทั่วโลกลดลง 50% ในไตรมาสแรกจากปีก่อนหน้า ทำให้ปีนี้เป็นปีที่ยากลำบากที่สุดของการลงทุนนับตั้งแต่เผชิญวิกฤติการเงินโลก”
“การเสนอขายหุ้น IPO ทำให้ตัวเลือกการระดมทุนสำหรับสตาร์ทอัพแคบลง และหากว่าเหล่า VC ยังไม่ได้รับการชดเชยการลงทุนจากการลอยตัวของหุ้นก็จะเท่ากับว่าโอกาสที่พวกเขาจะผูกมัดในการระดมทุนใหม่นั้นมีอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
หลังจากที่ SoftBank ได้รายงานผลขาดทุนประจำปีของ Vision Fund เนื่องจากการเทขายหุ้นเทคโนโลยีที่ได้กระทบต่อ Vision Fund มากถึง 20.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ได้ก่อให้เกิดกระแสในภาคการระดมทุนด้านเทคโนโลยี ณ ตอนนี้เงินทุนจำนวนมหาศาลจากนักลงทุนเพียงสองคนเท่าก็สามารถเป็นแนวทางในการเพาะพันธุ์ยูนิคอร์นได้
ด้าน Masayoshi Son ประธานและซีอีโอของ SoftBank ได้กล่าวว่า Japan Group ได้วางกลยุทธ์ในการป้องกันเพื่อช่วยให้บริษัทรับมือกับความสูญเสียรายได้ของแต่ละไตรมาสครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยให้คำมั่นว่าจะลดขนาดการลงทุนใหม่เมื่อเผชิญกับการขายหุ้นเทคโนโลยี ด้วยจุดยืนในการป้องกันการลงทุนที่เข้มงวดยิ่งขึ้น
แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีปัญหามากมายเกิดขึ้นในสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี แต่เมื่อเดือนพฤษภาคม Talos แพลตฟอร์มซื้อขาย Cryptocurrency กลับระดมทุนได้กว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐในรอบ series A ทำให้บริษัท Talos มีมูลค่าสูงถึง 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐในการประเมินครั้งล่าสุด ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่านักลงทุนก็ยังคงมีความมั่นใจที่จะวางเดิมพันในภาคเทคโนโลยีซึ่งกำลังมาแรงใน ณ ขณะนี้
สอดคล้องกับรายงานจาก PitchBook ที่ระบุไว้ว่า ในไตรมาสแรกของปี 2022 นั้น บริษัทร่วมทุนของสหรัฐฯ มีเงินลงทุนใหม่รวมกว่า 7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่าจำนวนเงินลงทุนในระหว่างปี 2551 ถึง 2553 หรือช่วงก่อนและหลังวิกฤตการเงินโลก หมายความว่า นี่อาจจะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่น่าจับตามองสำหรับนักลงทุนและอาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับสตาร์ทอัพในบางอุตสาหกรรมหรือไม่
อ้างอิง NIKKEI Asia BloomBerg
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด