
รายงานฉบับล่าสุด East Asia and Pacific Economic Update ประจำเดือนตุลาคม 2568 จากธนาคารโลก (World Bank) ได้ฉายภาพอนาคตเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (EAP)
โดยความน่ากังวลคือประเทศไทยและเพื่อนบ้าน ที่กำลังเผชิญกับภาวะการเติบโตที่ชะลอตัวพร้อมปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซ่อนอยู่ใต้พรม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่

World Bank คาดการณ์ว่าการเติบโตของ GDP ในภูมิภาค EAP แม้จะยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก แต่มีแนวโน้มชะลอตัวลงชัดเจนในปี 2568 และต่อเนื่องถึงปี 2569
สำหรับ ประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจหลักของอาเซียน สถานการณ์ดูน่าเป็นห่วงเป็นพิเศษ โดยคาดว่า GDP จะเติบโตเพียง 2.0% ในปี 2568 และลดลงเหลือ 1.8% ในปี 2569 ปัจจัยหลักมาจาก 3 ด้านคือ
โดยเฉพาะกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนเรื่องกฎเกณฑ์ของแหล่งกำเนิดสินค้าที่กำลังบีบให้หลายประเทศในอาเซียน ต้องเผชิญทางเลือกที่ยากลำบากระหว่างการรักษาตลาดส่งออกในสหรัฐฯ หรือการพึ่งพาซัพพลายเชนจากจีน
แม้หลายประเทศในอาเซียนรวมถึงเวียดนาม จะได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน (China Plus One) แต่ Aditya Mattoo, Chief Economist of the East Asia and Pacific Region of the World Bank เปิดเผยว่า ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอาจถูกประเมินค่าสูงเกินจริง
ซึ่งหมายถึง มูลค่าเพิ่มในประเทศที่เกิดขึ้นจากการประกอบสินค้าในประเทศเหล่านี้ยังไม่สูงมากนัก การพึ่งพาโมเดลรับจ้างประกอบที่มีมูลค่าเพิ่มในประเทศต่ำไม่ยั่งยืน
นี่เป็นสัญญาณเตือนว่าประเทศต่างๆ จำเป็นต้องมีการปฏิรูปเชิงลึกเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันจากภายใน เพื่อให้เศรษฐกิจมีความสามารถในการแข่งขันที่มากขึ้น

แม้อัตราการจ้างงานโดยรวมในภูมิภาค EAP อยู่ในระดับสูง แต่ปัญหาหลักคือแรงงานส่วนใหญ่อยู่ในงานที่มีผลิตภาพต่ำ (low-productivity) และ ผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity) ในเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของ EAP ยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำและต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก
หากเราเทียบกับในอดีตช่วงปี 1970-1990 การจ้างงานเคยเปลี่ยนทิศทางจากภาคเกษตรไปสู่อุตสาหกรรมและบริการที่มีผลิตภาพสูง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและชนชั้นกลางในประเทศอย่างไทยและมาเลเซีย
แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาตั้งแต่ช่วงปี 2000 แรงงานกลับไหลไปสู่ภาคบริการที่มีผลิตภาพต่ำ และเป็นงานนอกระบบ (Informal Jobs) มากขึ้น เช่น ค้าปลีก หรือก่อสร้าง แทนที่จะเป็นภาคอุตสาหกรรมที่ใช้ทักษะสูงเหมือนในอดีต
การที่แรงงานย้ายไปสู่ภาคบริการที่มีผลิตภาพต่ำและงานนอกระบบมากขึ้น ทำให้แม้คนจะมีงานทำ แต่อาจขาดความมั่นคงและส่งผลกระทบต่อการเติบโตในระยะยาว

ผลพวงจากวิกฤตคุณภาพงาน นำมาสู่ปรากฎการณ์ที่น่าตกใจคือ ประเทศที่กำลังพัฒนาส่วนใหญ่ของภูมิภาค (ไม่รวมจีน) มีขนาดของประชากรกลุ่ม ชนชั้นเปราะบาง ที่กำลังขยายใหญ่มากกว่ากลุ่มชนชั้นกลางไปแล้ว
ชนชั้นเปราะบางที่ว่านี้หมายถึง คือกลุ่มคนที่มีรายได้เหนือเส้นความยากจน (รายได้ต่อหัว/การบริโภคระหว่าง 8.30-15 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน) แต่ไม่สูงพอที่จะมีความมั่นคง และมีความเสี่ยงสูงที่จะกลับไปเป็นคนจนได้ทุกเมื่อหากเกิดวิกฤต
ส่วนชนชั้นกลางหมายถึง กลุ่มคนที่มีรายได้ต่อหัว/การบริโภคอยู่ระหว่าง 15-56 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน นับเป็นกลุ่มที่มีรายได้และความมั่นคงในระดับที่สามารถบริโภคและลงทุนเพื่ออนาคตได้
การที่จำนวนคนเปราะบางเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาไม่ได้สร้างความมั่นคงในชีวิตให้กับคนส่วนใหญ่ และเป็นระเบิดเวลาที่อาจนำไปสู่ปัญหาทางสังคม และความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงขึ้นในอนาคต
Aditya Mattoo ได้แบ่งผลกระทบของ AI ต่อภาคบริการออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
1.งานบริการซ้ำซาก เช่น งาน Back-office ในฟิลิปปินส์ เป็นกลุ่มที่จะถูก AI เข้ามาแทนที่อย่างไม่ต้องสงสัย
2.งานบริการเชิงความรู้ เช่น นักกฎหมาย แพทย์ นักบัญชี กลุ่มงานเหล่านี้ AI จะไม่ได้เข้ามาแทนที่ แต่จะทำให้คนกลุ่มนี้ทำงานมีผลิตภาพสูงขึ้นกว่าเดิม
3.ผู้สร้างเทคโนโลยี เช่น คนเขียนอัลกอริทึม คนเตรียมเทคโนโลยีใหม่ๆ นี่คือกลุ่มที่จะเกิดงานรูปแบบใหม่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญสำหรับประเทศที่สามรถพัฒนาทักษะแรงงานได้ทัน
ส่วนเทคโนโลยีที่นับเป็นความหวังและความท้าทายครั้งใหญ่ แบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1.หุ่นยนต์อุตสาหกรรม
ในกลุ่มประเทศ ASEAN-5 ประกอบไปด้วยอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม การนำหุ่นยนต์มาใช้ช่วยเพิ่มผลิตภาพและสร้างงานสำหรับแรงงานทักษะสูงได้ราว 2 ล้านตำแหน่ง
แต่ในทางกลับกันก็ทำให้แรงงานทักษะต่ำที่ทำงานซ้ำซากต้องตกงานถึง 1.4 ล้านคนในช่วงปี 2018-2022
2.AI
รายงานบอกว่า ภูมิภาค EAP อาจมีความเสี่ยงจาก AI ในการเข้ามาแทนที่งานน้อยกว่าประเทศพัฒนาแล้ว แต่ในขณะเดียวกันก็อาจได้รับประโยชน์จาก AI น้อยกว่า
ด้วยเหตุผลคือโครงสร้างงานในภูมิภาคนี้มีสัดส่วนของงานที่ต้องใช้แรงกายและงานซ้ำซากสูงกว่างานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และกลยุทธ์ ซึ่งเป็นกลุ่มงานที่ AI จะเข้ามาเสริมศักยภาพได้มากที่สุด

Aditya Mattoo มีอีกหนึ่งประเด็นที่เปิดเผยให้ทราบคือ ปัญหาโครงสร้างด้านการศึกษาที่ภูมิภาคนี้กำลังเผชิญโดยได้ยกตัวอย่างกรณีของฟิลิปปินส์ขึ้นมาเป็นอุทาหรณ์
เขาเล่าว่า ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่ทำได้ดีในเรื่องของภาคการส่งออกบริการ แต่กลับมีสิ่งที่เรียกว่า ‘เท้าที่ทำจากดิน’ เมื่อพูดถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งหมายถึงความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความสามารถในการส่งออกบริการที่เติบโต
ความเปราะบางนี้ถูกตอกย้ำด้วยข้อมูลที่น่าตกใจว่า เด็กอายุ 10 ขวบในฟิลิปปินส์มากถึง 90% ยังขาดทักษะการอ่านและคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐาน
ภาวะดังกล่าวถูกระบุในรายงานว่าเป็น ความยากจนด้านการเรียนรู้ ซึ่งพบได้ใน 14 จาก 22 ประเทศรายได้ปานกลางในภูมิภาคนี้ ที่เด็กกว่าครึ่งไม่สามารถอ่านและทำความเข้าใจเนื้อหาที่เหมาะสมกับวัยได้
รากฐานที่อ่อนแอนี้ส่งผลให้ฟิลิปปินส์เผชิญกับ ภาวะขาดแคลนทักษะอย่างรุนแรง แม้จะมีโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ เกิดขึ้น โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ AI แต่ประเทศกลับขาดขีดความสามารถของประชากรที่จะคว้าโอกาสเหล่านั้นไว้ได้อย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ไม่ใช่ทางตัน เพราะทั้งรัฐบาลฟิลิปปินส์และธนาคารโลกได้ตระหนักถึงปัญหานี้และกำลังดำเนินขั้นตอนที่สำคัญเพื่อแก้ไข หนึ่งในนั้นคือการผลักดันกรอบการทำงานการศึกษาและการฝึกอบรมโดยมีสถานประกอบการเป็นฐาน (Enterprise-Based Education and Training - EBET) เพื่อสร้างขีดความสามารถให้แก่แรงงาน
กรณีของฟิลิปปินส์จึงเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ที่ต้องกลับมาทบทวนและซ่อมแซมรากฐานของทักษะพื้นฐานอย่างเร่งด่วน ก่อนที่โอกาสในโลกยุคใหม่จะผ่านเลยไป
อ้างอิง : World Bank และ Q&A จาก Aditya Mattoo
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด