ไชน่า โมบายล์ และ Huawei นำการเชื่อมต่อ 5G ให้สูงขึ้นไปอีกขั้น ร่วมสร้างเครือข่าย ณ ยอดเขาเอเวอเรสต์ ด้วยการจัดตั้งสถานีฐาน (Base station) สูงที่สุดในโลก ที่ความสูงกว่า 6,500 เมตร พร้อมกันนี้ Huawei ยังได้เปิดตัวเครือข่ายใยแก้วนำแสงระดับความเร็วกิกะบิต (Gigabit optical fibre network) ที่ความสูง 6,500 เมตร ช่วยให้โอเปอเรเตอร์ ไชน่า โมบายล์ สามารถเปิดใช้งานเครือข่ายกิกะบิตแบบคู่ได้แม้อยู่บนยอดเขาเอเวอเรสต์
เนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปีของความสำเร็จเป็นครั้งแรกจากการพิชิตยอดเนินเขาทางทิศเหนือเอเวอเรสต์ และโอกาสครบรอบ 45 ปีของการวัดความสูงของยอดเขาเอเวอเรสต์ได้อย่างแม่นยำและเป็นการติดตั้งอย่างเป็นทางการครั้งแรกของประเทศจีน ในติดตั้งเครือข่าย 5G ณ ยอดเขาเอเวอเรสต์ นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ในการช่วยอำนวยความสะดวกด้านบริการการสื่อสารสำหรับการวัดระดับความสูงยอดเขาเอเวอเรสต์ที่จะเกิดขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2563
Huawei ได้นำเสนอโซลูชันครบวงจรในการดำเนินการจัดตั้งเครือข่ายกิกะบิตแบบคู่ ณ ยอดเขาเอเวอเรสต์ ให้กับ ไชน่า โมบายล์ โดยสถานีฐานต่างๆ ถูกสร้างขึ้น ณ บริเวณเบสแคมป์ (Base Camp) ของยอดเขาเอเวอเรสต์ที่ความสูง 5,300 เมตร บริเวณทรานซิชั่นแคมป์ (Transition Camp) ที่ความสูง 5,800 เมตร และบริเวณฟอร์เวิร์ดแคมป์ (Forward Camp) ที่ความสูง 6,500 เมตร สถานีฐานเหล่านี้ได้นำเทคโนโลยี 5G AAU และ SPN ของ Huawei มาปรับใช้ โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านเครือข่ายกว่า 12 คน ประจำการตลอด 24 ชั่วโมง ที่ความสูง 5,300 เมตร ขึ้นไป เพื่อบำรุงรักษาและเสริมศักยภาพเครือข่ายให้สามารถใช้งานได้อย่างราบรื่น
เทคโนโลยี 5G AAU ของ Huawei เป็นการสมานรวมกันอยู่ในรูปแบบขนาดกะทัดรัด ง่ายต่อการขนย้ายและติดตั้ง ทั้งโครงสร้างพื้นฐานยังเหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับที่ตั้งที่อยู่ในสภาพแวดล้อมสุดขั้วอย่างยอดเขาเอเวอเรสต์ โดยภายในโครงการนี้ เครือข่ายในโหมด “สแตนด์อโลนบวกนันสแตนด์อโลน" (SA+NSA) ที่ได้เชื่อมต่อสถานีฐาน 5G ทั้ง 5 สถานีเอาไว้ด้วยกัน ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยี Massive MIMO จาก Huawei ยังทำให้การเชื่อมต่อ 5G ที่ทั้งเร็วและทรงประสิทธิภาพกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ จากการสนับสนุนด้านความเร็วอันเหลือเชื่อและแบนด์วิดท์ขนาดใหญ่
เทคโนโลยี Massive MIMO ของ Huawei มีความน่าเชื่อถือเป็นอย่างยิ่งด้วยการครอบคลุมอันเหนือชั้น ด้วยคลื่นสัญญาณแบบสามมิติที่มีความยืดหยุ่นสูง เทคโนโลยีนี้จึงทำงานได้ดีเป็นพิเศษตามแนวดิ่งของยอดเขาเอเวอเรสต์ โดยความสูงที่ 5,300 เมตร เทคโนโลยี 5G สามารถทำความเร็วในการดาวน์โหลดได้มากกว่า 1.66 Gbps และความเร็วในการอัปโหลดสูงถึง 215 Mbps
ในขณะเดียวกัน โซลูชันเครือข่าย Intelligent OptiX จาก Huawei ช่วยการันตีให้เครือข่ายมีคุณภาพไร้การสะดุด ไม่ว่าจะเป็นการส่งข้อมูลจำนวนมหาศาลในการส่งมอบวิดีโอความละเอียดสูง หรือการถ่ายทอดสด VR ก็สามารถทำได้ด้วยเกตเวย์เอนเตอร์ไพรส์ที่มาพร้อมกับการเชื่อมต่ออัปสตรีมและดาวน์สตรีมกว่า 1 Gbps นอกจากนี้เบสแคมป์เอเวอเรสต์ที่ตั้งอยู่ ณ ความสูง 5,300 เมตร ยังได้รับสัญญาณครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่บนความเร็วและการเชื่อมต่อ 1.43 Gbps จากผลงานของเครือข่ายกิกะบิตใยแก้วนำแสง ในขณะที่แพลตฟอร์มส่งสัญญาณความเร็วสูง 10G PON OLT และ 200G ของ Huawei ก็สามารถจัดการปริมาณข้อมูลได้อย่างยอดเยี่ยม จึงทำให้ทุกครอบครัวและธุรกิจต่างๆ ยังสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงได้ แม้อยู่ในพื้นที่สูงเสียดฟ้า
นอกจากนี้ ระบบกล้องวงจรปิดอัจฉริยะ HoloSens ของ Huawei ยังมอบคุณภาพการสตรีมวิดีโอได้อย่างไร้ที่ติและสามารถระบุตำแหน่งบกพร่องได้ด้วยการคลิกเพียงครั้งเดียว ทำให้เครือข่ายสามารถออนไลน์ได้ตลอดเวลาแม้จะอยู่ในพื้นที่สูง 6,500 เมตร บนยอดเขาเอเวอเรสต์
Huawei มีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า เป้าหมายของเทคโนโลยีคือการพัฒนาให้โลกใบนี้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ความงดงามของเอเวอเรสต์ได้ถูกถ่ายทอดและปรากฎแก่สายตาผู้คนได้ด้วยวิดีโอ 5G ความละเอียดสูงและประสบการณ์ VR ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ยังมอบข้อมูลสำคัญต่างๆ ให้แก่บรรดานักปีนเขา นักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่นๆ ให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติมากยิ่งขึ้น การติดตั้งครั้งประวัติศาสตร์ ณ ยอดเขาเอเวอเรสต์ครั้งนี้คือเครื่องพิสูจน์ว่า เทคโนโลยี 5G จะช่วยประสานมนุษยชาติและโลกไว้ด้วยกันได้อย่างกลมเกลียว
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด