IMF ปรับคาดการณ์ GDP โลกปี 2021 ขยายตัว 5.9% ส่วน GDP ไทยอยู่ที่ 1% เหตุโควิดยังคงรุนแรง | Techsauce

IMF ปรับคาดการณ์ GDP โลกปี 2021 ขยายตัว 5.9% ส่วน GDP ไทยอยู่ที่ 1% เหตุโควิดยังคงรุนแรง

IMF ประเมินเศรษฐกิจโลกปี 2021 ขยายตัว 5.9% ตามรายงาน World Economic Outlook (WEO) ในเดือน ต.ค. 2021 ซึ่งปรับลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับประมาณการในเดือน ก.ค. 2021 ที่ระดับ 6.0% อันเนื่องจากการเติบโตชะลอลงของเศรษฐกิจกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งได้รับผลกระทบจาก Supply disruption และสถานการณ์แพร่ระบาดที่เลวร้ายลงในกลุ่มประเทศรายได้น้อย ขณะที่ระดับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังคงแตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่มประเทศตามความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับปี 2022 IMF ยังคงประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ 4.9% โดยรายงานมีสาระสำคัญต่างๆ ดังนี้

IMF

  • โมเมนตัมเศรษฐกิจโลกเริ่มชะลอลงนับตั้งแต่ไตรมาส 2  เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในกลุ่มเศรษฐกิจตลาดใหม่และกำลังพัฒนา รวมถึงผลกระทบจาก Supply disruption ซึ่งกระทบการลงทุนในช่วงดังกล่าว ทำให้เศรษฐกิจในภาพรวมยังฟื้นตัวช้าลงในไตรมาสที่ 3
  • การค้าโลกเติบโตอย่างมีนัยสำคัญตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแม้จะเผชิญกับ supply disruption คาดว่าการค้าโลกจะขยายตัว 9.7% ในปี 2021 และ 6.7% ในปี 2022 โดยเฉพาะกลุ่มเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่และกำลังพัฒนาที่มีการเติบโตทั้งการนำเข้าและส่งออกสูงถึง 12.1% และ 11.6% ตามลำดับในปี 2021 โดยเฉพาะแรงส่งจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ขยายตัวสูงขึ้น 
  • การจ้างงานมีแนวโน้มฟื้นตัวได้อย่างล่าช้า เนื่องจากความกังวลของแรงงานต่อการติดเชื้อ โดยเฉพาะกลุ่มอาชีพที่ต้องทำงานใกล้ชิดกับผู้อื่น ข้อจำกัดจากการเลี้ยงดูบุตรในช่วงล็อคดาวน์  การถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ ผลจากมาตรการเงินชดเชยการว่างงาน และการว่างงานชั่วคราวอันเกิดจากความฝืดเคืองของตลาดงาน   
  • ในระยะกลาง เศรษฐกิจโลกจะเติบโตเฉลี่ย 3.3% ในช่วงปี 2023-2026 โดยกลุ่มเศรษฐกิจพัฒนาแล้วจะฟื้นตัวสู่ระดับก่อนโควิดได้ในปี 2022 ปัจจัยหลักมาจากการคาดหวังผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะมีมาเพิ่มเติมของสหรัฐอเมริกา ในขณะที่กลุ่มเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่และกำลังพัฒนาและกลุ่มประเทศรายได้น้อย จะยังไม่ฟื้นตัวไปสู่ระดับก่อนโควิดได้ภายในช่วงปีที่ IMF ทำการคาดการณ์ เนื่องจากอัตราการฉีดวัคซีนที่ช้าและมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐที่มีจำกัด 
  • อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นแตะระดับสูงในช่วงที่เหลือของปีนี้ ก่อนจะปรับลดลงในปี 2022 (รูปที่ 1) จากอุปทานตึงตัว ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น ประกอบกับการสิ้นสุดของมาตรการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายของภาครัฐในหลายประเทศ แต่แรงกดดันทางด้านราคาในหลายประเทศจะผ่อนคลายลงในปี 2022 โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดเกิดใหม่และกำลังพัฒนา ที่คาดว่าจะเผชิญแรงกดดันด้านราคายาวนานกว่า ตามราคาอาหารที่เพิ่มสูงขึ้น การตอบสนองต่อการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันโลกที่ช้ากว่า และการอ่อนค่าของสกุลเงินท้องถิ่นที่ทำให้ราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้นได้ในระยะต่อไป นอกจากนี้ ยังมีประเด็นด้านอุปทานแรงงานคลายตัว (slack) ปัญหา supply disruption ที่อาจกินเวลายาวนานขึ้น รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์และราคาบ้านที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว 

pastedGraphic.png


IMF คาดการณ์เศรษฐกิจไทยขยายตัว  1.0 % ก่อนจะฟื้นตัวเป็น 4.5% ในปีหน้า แต่ยังขยายตัวน้อยกว่าภาพรวมของโลกและ ASEAN-5

  • กลุ่มเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว คาดว่าจะขยายตัว 5.2% และ 4.5% ในปี 2021 และ 2022 โดยการคาดการณ์ในปี 2021 ปรับลดลงจากการคาดการณ์เมื่อ ก.ค.2021 (5.6%) สาเหตุหลักมาจากการฟื้นตัวที่ช้าลงของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา เนื่องจากสินค้าคงคลังและการบริโภคที่ลดลงในไตรมาส 3 รวมถึงการขาดแคลนวัตถุดิบในภาคการผลิต (เช่น ในเยอรมนี) และการประกาศล็อคดาวน์ซ้ำ (เช่น การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นครั้งที่ 4 ในญี่ปุ่น ช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค.) เป็นต้น
  • กลุ่มตลาดเกิดใหม่และกำลังพัฒนา คาดว่าจะขยายตัวที่ 6.4% และ 5.1% ในปี 2021 และ 2022 โดยการคาดการณ์ในปี 2021 ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการคาดการณ์เมื่อ ก.ค.2021 (6.3%) ปัจจัยหลักมาจากการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีราคาสูงขึ้น ซึ่งไปทดแทนการหดตัวของ output จากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ได้ ยกเว้นจีนที่ถูกปรับลดการคาดการณ์ลงเนื่องจากการลงทุนภาครัฐที่ลดขนาดลงมากกว่าที่คาด   
  • ส่วนเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะขยายตัว 1.0% ในปี 2021 ซึ่งต่ำกว่าการประมาณการเดิมเมื่อ ก.ค.2021 (2.1%) และคาดว่าจะขยายตัว 4.5% ในปี 2022 และจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยระหว่างปี 2023-2026 ที่ 3.5-4.0% นอกจากนี้ยังประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับ 0.9% และ 1.3% ในปี 2021 และปี 2022  ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะขาดดุล 0.5% ของ GDP ในปี 2021 และกลับมาเกินดุล 2.1% ของ GDP ในปี 2022 ตามลำดับ 


pastedGraphic_1.png


pastedGraphic_2.png

ยุทธศาสตร์อยู่ร่วมกับโควิด-19 แบบโรคประจำถิ่น มีความจำเป็น แต่ก็มาพร้อมกับต้นทุนทางเศรษฐกิจ

  • IMF ได้ชี้ว่าการใช้ยุทธศาสตร์อยู่ร่วมกับโควิด-19 แบบโรคประจำถิ่น (Endemic) ถือเป็น downside scenario ที่จะกระทบต่อตัวเลขเศรษฐกิจในอนาคตที่ได้คาดการณ์ไว้ โดยฉากทัศน์นี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้น เพราะแม้จะมีการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรแล้ว แต่ก็จะไม่สามารถทำให้การแพร่ระบาดของโรคจบลงเนื่องจากประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันและลดความรุนแรงของโรคที่ลดลงหลังการฉีด อีกประการหนึ่งคือ ปัญหาการขาดแคลนวัคซีน และการลังเลต่อการฉีดวัคซีน ทำให้ยังคงมีผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนและเสี่ยงที่จะติดเชื้ออยู่เสมอ นั่นหมายความว่ากิจกรรมของภาคธุรกิจจะต้องปรับให้สอดคล้องกับสมมติฐานนี้ด้วย
  • การปรับรูปแบบกิจกรรมของภาคธุรกิจภายใต้ฉากทัศน์ดังกล่าวจะทำให้ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจจริงต่ำกว่าที่คาดการณ์ โดยภาคเศรษฐกิจต้องปรับตัวเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อด้วยวิธีการต่างๆ ได้แก่ 1. การจำกัดการเดินทาง 2. การปรับโครงสร้างและรูปแบบกิจกรรมของธุรกิจ (เช่น การใช้ hybrid work model และการทำงานผ่านระบบทางไกล) การปรับตัวดังกล่าวจะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีลักษณะ Contact-intensive ไม่สามารถฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนโควิดได้ นอกจากนี้ การปรับโครงสร้างธุรกิจจำเป็นต้องมีการลงทุนในสินค้าทุน เพิ่มเติม ทำให้กระทบกับผลิตภาพของธุรกิจชั่วคราว และการว่างงานตามธรรมชาติจะสูงขึ้นในช่วงของการเปลี่ยนผ่านของแรงงานที่ต้องเปลี่ยนไปทำงานใน Sector อื่น หากคำนึงถึงปัจจัยข้างต้น ก็จะทำให้ระดับ GDP ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ใน Baseline (รูปที่ 4)


pastedGraphic_3.png

Implications

  • การปรับลดการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยลงเหลือ 1.0% และ 4.5%ในปี 2021-2022 โดย IMF สอดคล้องกับมุมมองของ Krungthai COMPASS
    ที่คาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ 0.5% และ 3.9% ในปี 2021-2022 โดยมีมุมมองว่าเศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวได้ช้าเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลต้า จำนวนนักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติที่ยังอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าไทยจะมีแผนการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2021 แต่จำนวนนักท่องเที่ยวไม่น่าจะเพิ่มขึ้นมากนัก เนื่องจากอัตราการติดเชื้อโควิด-19 รายวันของประเทศไทยยังอยู่ในระดับสูง ส่วนภาคส่งออก แม้จะฟื้นตัวได้แต่ยังมีปัจจัยลบที่เข้ามาชะลอการฟื้นตัว ทั้งต้นทุนวัตถุดิบสำหรับภาคการผลิตและการขนส่งทางเรือที่สูงขึ้น รวมถึงเงินบาทที่มีแนวโน้มจะแข็งค่าขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2022  
  • การคาดการณ์ตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะกลางของไทยอาจต้องพิจารณา downside scenario ของการใช้ยุทธศาสตร์อยู่ร่วมกับโควิด-19 แบบโรคประจำถิ่น IMF คาดการณ์ว่าในระยะกลางเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวระหว่างปี 2023-2026 ที่ 3.5-4.0% แต่หากคำนึงถึงฉากทัศน์การอยู่ร่วมกับโควิด-19 แบบโรคประจำถิ่น ก็น่าจะทำให้การเติบโตของ GDP ของไทยในระยะกลางลดลงไปอีกราว 0.4 – 1.0% (เทียบจากตัวเลขประเมินของกลุ่มเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่และกำลังพัฒนา) อันเกิดจากการสูญเสียผลิตภาพของภาคธุรกิจในช่วงการเปลี่ยนผ่านไปสู่รูปแบบธุรกิจใหม่ การว่างงานที่เพิ่มขึ้นชั่วคราว และการจำกัดการเดินทาง และทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนโควิดได้ช้าลงกว่าที่คาด
  • คาด ธปท.จะยังไม่เร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อของไทยที่ค่อนข้างน้อย จากความกังวลที่เศรษฐกิจไทยอาจเข้าสู่ภาวะชะงักงัน (Stagflation) อันเกิดจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ล่าช้ากว่าการเร่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกนั้น Krungthai COMPASS มองว่า แม้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่ากลุ่มตลาดเกิดใหม่เป็นระยะเวลานาน รวมถึงเศรษฐกิจในภาวะวิกฤตยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ในทุกภาคส่วน (K-shape recovery) โดยเฉพาะตลาดแรงงานที่เผชิญแผลเป็นรุนแรงจาก     วิกฤตโควิด-19 จนทำให้บางส่วนเสี่ยงที่จะว่างงานระยะยาว แต่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยจะเร่งตัวขึ้นเพียงระยะสั้น เนื่องจากองค์ประกอบของตะกร้าเงินเฟ้อของไทยที่อิงจากราคาน้ำมันในตลาดโลกมีกลไกในการควบคุมเสถียรภาพด้านราคาพลังงานไม่ให้ผันผวนตามทิศทางตลาดโลกตาม พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2562 ประกอบกับสัดส่วนสินค้านำเข้า (Import content) ที่อยู่ในระดับไม่สูงนักเมื่อเทียบกับสัดส่วนสินค้าส่งออก (Export content) ทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น ส่งผ่านมายังอัตราเงินเฟ้อของไทยค่อนข้างจำกัด
  • Krungthai COMPASS มองว่า มาตรการกระตุ้นจากภาครัฐเป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างแรงส่งทางเศรษฐกิจของไทย สะท้อนจากที่ IMF ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2022 ขยายตัวต่ำกว่าประมาณการครั้งก่อนหน้าค่อนข้างมากที่ระดับ 4.5% สอดคล้องกับ Krungthai COMPASS ที่มองว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะขยายตัวได้เพียง 3.9% ซึ่งนั่นหมายความว่า รอยต่อของวัฏจักรเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเปลี่ยนผ่านจากภาวะซบเซา (Stagnation) ไปสู่ระยะของฟื้นตัว (Recovery) ได้ล่าช้ากว่าเดิม ฉะนั้นแล้ว การเร่งอัดฉีดมาตรการทางการคลังตามการขยับขึ้นของเพดานหนี้สาธารณะ นอกจากจะช่วยพยุงการบริโภคในประเทศแล้ว ยังสร้างเสริมความเชื่อมั่นแก่ภาคการลงทุนอีกด้วย หนุนภาพเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ควรจะต้องมีมาตรการที่จะช่วยเร่งการปรับโครงสร้างของภาคธุรกิจ และลด slack ของตลาดงาน เพื่อพยุงผลิตภาพของเศรษฐกิจที่อาจถูกกระทบจาก downside scenario ของการอยู่ร่วมกับโควิด-19 แบบโรคประจำถิ่นด้วย 
  • ประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนที่ไม่สูง จะฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้ช้า และส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศของไทย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ที่เข้าถึงวัคซีนได้น้อย หรือกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา ที่ประชากรบางส่วนมีความลังเลที่จะฉีดวัคซีน ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจชะลอลง และมีอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ Stagflation  ซึ่งจะฉุดรั้งการเติบโตของการค้าของไทยกับประเทศกลุ่มดังกล่าวในระยะถัดไป จึงยังต้องติดตามทั้งความก้าวหน้าในการฉีดวัคซีนและมาตรการพยุงเศรษฐกิจในกลุ่มนี้ โดยเฉพาะมาตรการส่งเสริมการจ้างงานที่จะช่วยลด slack ของระบบเศรษฐกิจ ส่วนประเทศไทยเอง ควรมีมาตรการที่จะช่วยกระจายความเสี่ยงที่จะลดการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบหรือส่งออกสินค้าไปที่กลุ่มประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไปในระยะสั้น-กลาง


pastedGraphic_4.png






ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

HD เพิ่มทุน Series A เป็น 7.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เดินหน้าขยายตลาด Health Care และ AI ใน SEA

HD แพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลซชั้นนำสำหรับบริการสุขภาพและการผ่าตัดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศปิดรอบการระดมทุน Series A-1 โดยมี MSD บริษัทผู้นำด้านเวชภัณฑ์ระดับโลกเข้าร่วมลงทุน ทำให้ก...

Responsive image

Siam AI นำ NVIDIA GB200 NVL72 เข้าไทย ตอกย้ำเป้าหมาย AI Sovereignty

Siam AI ประกาศความสำเร็จในการเป็น NCP รายแรกในเอเชีย ที่นำ NVIDIA GB200 NVL72 สู่ไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI ในภูมิภาค พร้อมเดินหน้าสร้าง AI Sovereign Cloud เพื่...

Responsive image

ETDA เปิดตัวโปรเจค 'EDC Trainer Season 4' ปั้นเทรนเนอร์ดิจิทัล พร้อมลุ้นเวที EDC Pitching สมัครด่วนก่อน 12 มี.ค.

สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA ร่วมมือกับ Dek-D เปิดโครงการ “ETDA Digital Citizen Trainer” หรือ EDC Trainer Season 4 ภายใต้แนวคิด “ส่งต่อความรู้ สู่สังคมดิ...