Microsoft เปิดตัว Surface Pro 7+ สำหรับลูกค้าธุรกิจและภาคการศึกษาในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อเสริมการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และสนับสนุนการทำงานแบบนอกสถานที่และแบบไฮบริดให้ราบรื่นที่สุด โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ผ่านตัวแทนจำหน่ายลูกค้าภาคธุรกิจของ Microsoft ประเทศไทย ได้แก่ Add in Business และ Ciphermed ขณะที่ Surface Hub 2S 85 นิ้ว จะพร้อมจัดส่งลูกค้าในประเทศไทยได้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564 ผ่านตัวแทนจำหน่าย Surface Hub คือ CipherMED และ ESCO เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าองค์กรได้เชื่อมต่อการทำงานระหว่างดิจิทัลและออฟไลน์ในยุคไฮบริดได้อย่างลงตัวที่สุด
Surface Pro 7+ ราคาเริ่มต้นที่ 30,900 บาท โดยจะมีสีดำและแพลทตินัมวางจำหน่ายในประเทศไทย มาพร้อมทางเลือกแบบ LTE Advanced สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ เพื่อให้พนักงานยังสามารถเชื่อมต่อได้แม้สัญญาณ WiFi ที่บ้านมีจำกัด หรืออยู่ในสถานที่ห่างไกล ส่วน Surface Hub 2S 85 นิ้ว รุ่นล่าสุด อุปกรณ์ที่ช่วยให้ลูกค้าธุรกิจมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการทำงานร่วมกัน ตอบโจทย์การทำงานยุคดิจิทัลที่พร้อมเปลี่ยนทุกพื้นที่ให้กลายเป็นพื้นที่การประชุมเพื่อเชื่อมต่อความคิดได้ทันที โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 927,900 บาท
“Surface เป็นมากกว่าอุปกรณ์ เพราะเป็นตัวช่วยในการขับเคลื่อนกลยุทธ์สำหรับธุรกิจ เรามุ่งมั่นที่จะออกแบบเทคโนโลยีที่ส่งเสริมประสิทธิภาพในการทำงาน ความคิดสร้างสรรค์ และการเชื่อมต่อการทำงาน เพื่อนำพาผู้คนไปสู่ความสำเร็จได้ในที่สุด ปีที่แล้วเราได้มีการพูดคุยกับลูกค้า พร้อมรับฟังเส้นทางการทำงานของพวกเขาที่ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบทุกอย่างไปสู่การทำงานนอกสถานที่ โดยการพูดคุยที่เกิดขึ้น ควบคู่กับงานวิจัยเชิงลึก ที่จัดทำโดยกลุ่ม Applied Science ช่วยให้เราเข้าใจถึงความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของลูกค้าได้เป็นอย่างดี” นางสาวชนิกานต์ โปรณานันท์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาดและปฏิบัติการ Microsoft (ประเทศไทย) กล่าว “และนี่เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการพัฒนา Surface ของเรา เพื่อให้ลูกค้าภาคธุรกิจของเรามั่นใจได้ว่าเราได้รับฟังเสียงของพวกเขา และนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเราโดยตรง”
Surface Pro นับเป็นอุปกรณ์ Surface ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางที่สุดในลูกค้าระดับองค์กรและภาคการศึกษา Microsoft ขอบคุณสำหรับแรงบัลดาลใจ และผลตอบรับจากการใช้งาน Surface จากลูกค้าเสมอมา เพื่อสานต่อผลิตภัณฑ์อันเป็นเอกลักษณ์อย่าง Surface Pro Microsoft ขอแนะนำ LTE Advanced อีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับ Surface Pro 7+ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ลูกค้าเรียกร้องมากที่สุด ที่จะช่วยให้การเชื่อมต่อเป็นไปอย่างราบรื่นไม่ว่าจะทำงานที่บ้าน หรือสถานที่ที่มีแบนด์วิดท์ WiFi จำกัด
Surface Pro 7+ มาพร้อมกับโปรเซสเซอร์ Intel® Core™ เจนเนอเรชั่นที่ 11 รุ่นล่าสุด ทำให้ดีไวซ์มีประสิทธิภาพที่เร็วกว่ารุ่นก่อนถึง 2.1 เท่า และอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้นสูงสุด 15 ชั่วโมง นอกจากนั้น Surface Pro 7+ ยังมอบความคล่องตัวให้คนที่ต้องการทำงานทุกที่ทุกเวลาได้ตามต้องการ ด้วยการเชื่อมต่อกับหน้าจอ ดอคกิ้ง สเตชั่นแบบครบวงจร หรืออุปกรณ์ชาร์จต่างๆ ด้วยพอร์ตที่หลากหลาย อาทิ USB-A และUSB-C™ และ Microsoft ยังช่วยตอบโจทย์และเติมเต็มทุกด้านของชีวิตทั้งการทำงานและความบันเทิง โดยดีไวซ์รุ่นนี้มีพร้อมทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง ที่ให้ความละเอียดของวิดีโอสูงถึง 1080p Full HD ควบคู่กับเสียงที่คมชัดจากลำโพง Dolby® Atmos และไมโครโฟนคู่ Studio Mics
Surface Pro 7+ มาพร้อมตัวเครื่องที่มีน้ำหนักเบา ด้วยวัสดุที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีน้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 23% และทำจากวัสดุเส้นใยธรรมชาติ 99% โดย 64% เป็นวัสดุที่ผ่านการรีไซเคิลมาแล้ว การพัฒนานวัตกรรมเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของ Microsoft เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความยั่งยืนให้กับโลกของเรา
หลายองค์กรตระหนักถึงความสำคัญของหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ และอุปกรณ์สำหรับการทำงานร่วมกันแบบไฮบริดอย่าง Surface Hub ทั้งนี้ Surface Hub 2S 85 นิ้ว จะพร้อมจัดส่งไปยังลูกค้ากลุ่มองค์กรธุรกิจและภาคการศึกษาในประเทศไทยเริ่มต้นเดือนมีนาคมนี้
Surface Hub 2S 85 นิ้ว จะช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จากการกำหนดค่า Windows 10 Pro และการตั้งค่าองค์กร ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถเรียกใช้แอปพลิเคชันที่สำคัญทางธุรกิจทั้งหมดได้ผ่านหน้าจอมัลติทัชระดับ 4K ความละเอียดสูง PixelSense™ Display ขนาด 85 นิ้ว ที่สามารถขีดเขียนได้จริงแบบดิจิทัลบนหน้าจอ นอกจากนี้ยังมีระบบเสียงและวิดีโอที่ได้การรับรองคุณภาพจาก Microsoft Teams รองรับการทำงานที่เหนือไปอีกขั้น พร้อมชุดเซ็นเซอร์ออนบอร์ดอีกด้วย
ออกแบบมาพร้อม ความปลอดภัย ความสามารถในการปรับใช้ และเปิดให้จัดการได้ตามต้องการเป็นครั้งแรกที่ Surface Pro 7+ จะมาพร้อมกับคุณสมบัติ Windows Enhanced Hardware Security ที่เปิดใช้งานนอกรอบได้ ดีไวซ์รุ่นนี้สามารถจัดการและอัปเดตผ่านระบบคลาวด์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เปิดเครื่อง โดยจะดูแลแบบครบวงจรการใช้งานของเครื่องโดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพนักงานไอทีมาสัมผัสเครื่องเลย ผู้ใช้งานสามารถอุ่นใจในเรื่องของความปลอดภัยได้โดยไม่กระทบกับประสบการณ์การใช้งานของทั้งคนทำงาน และนักเรียน นิสิต นักศึกษา ซึ่งนับเป็นความสำเร็จของ Microsoft ในการนำเฟิร์มแวร์ UEFI (BIOS รุ่นใหม่) และแพลตฟอร์ม Windows มาผนวกเข้าด้วยกัน รวมถึงได้แบ่งปันการใช้งาน Microsoft UEFI เป็นแบบเปิดบน GitHub ในชื่อ Project Mu อีกด้วย
นอกจากนี้ Surface ยังนำเอาความสามารถในการปรับใช้ของ Microsoft ตัวล่าสุด อย่าง Windows Autopilot เข้ามาช่วยในการจัดส่งของจากโรงงานไปยังบ้านโดยตรง มาพร้อมกับความปลอดภัย แอปพลิเคชันและการตั้งค่าที่พร้อมใช้งาน โดย Windows Autopilot ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการดีไวซ์ได้ด้วยตัวเองผ่านทางออนไลน์ เชื่อมต่อและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และช่วยลดเวลาในเริ่มใช้งานดีไวซ์ใหม่ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เวลาของฝ่ายไอที
Microsoft ตระหนักถึงความสำคัญของลูกค้าในการควบคุมและจัดการข้อมูลของตัวเอง ทำให้ Surface Pro 7+ ยังคงมี SSD แบบถอดได้สำหรับการเก็บรักษาข้อมูลเพื่อรองรับความต้องการด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวขององค์กรและภาคการศึกษา ฟีเจอร์นี้มาควบคู่กับการป้องกัน Microsoft BitLocker ทำให้ผู้ใช้สามารถเก็บรักษาข้อมูลที่ละเอียดอ่อนได้ง่าย หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ของตัวเอง
Surface Pro 7+ สำหรับลูกค้าธุรกิจและภาคการศึกษา จะวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ผ่านตัวแทนจำหน่ายลูกค้าภาคธุรกิจของ Microsoft ได้แก่ Add in Business และ Ciphermed ขณะที่ Surface Hub 2S 85 นิ้ว จะสามารถจัดส่งลูกค้าในประเทศไทยได้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564 ผ่านตัวแทนจำหน่าย Surface Hub คือ CipherMED และ ESCO
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด