ความพึงพอใจในชีวิตของคนไทย ในมุมมองแต่ละ Gen | Techsauce

ความพึงพอใจในชีวิตของคนไทย ในมุมมองแต่ละ Gen

ตั้งแต่โควิด-19 ระบาดในไทย ประชาชนต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงในด้านการดำเนินชิวิตและการทำงาน โดยจำเป็นต้องปรับตัวรับมือกับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนรวมถึงนโยบายของรัฐที่ออกมาเยียวยาแก้ปัญหา จากกรณีนี้อาจนำมาซึ่งความวิตกกังวลที่ส่งผลต่อความสุขและทัศนคติ รวมถึงความพึงพอใจในชีวิตความเป็นอยู่ของตนและครอบครัว เพื่อสำรวจความพึงพอใจชีวิตของคนไทยในปัจจุบัน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จึงร่วมกับมูลนิธิเวลาดี สำรวจความพึงพอใจชีวิตของคนไทยกับความเห็นต่อบรรทัดฐานทางสังคม และความชอบนโยบายสาธารณะ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม

การสำรวจมีจำนวนประชากร 2,476 ตัวอย่าง อายุ 24-74 ปี  อยู่อาศัยในเขตเทศบาล 9 จังหวัด ซึ่งกลุ่มตัวอย่างมีการกระจายเป็นไปตามโครงสร้างของประชากร และมีสัดส่วนตัวอย่างทุกภาคพอๆ กัน ในช่วงที่สำรวจสถานการณ์โควิด-19 ไม่รุนแรงมากนัก คืออยู่ในช่วงวันที่ 1 พฤษภาคม – 15 มิถุนายน 2563 หรือเป็นช่วงที่รัฐบาลคลายล็อกดาวน์ระยะแรก ถึงช่วงคลายล็อกดาวน์ระยะที่ 4

ในด้านการอยู่อาศัยของกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาจำนวน 58% อาศัยอยู่กับคู่ครองซึ่งรวมถึงคู่ที่ไม่ได้แต่งงานด้วย อีก 17% แยกกันอยู่ หย่าหรือหม้าย และในด้านการศึกษากลุ่มตัวอย่าง 70% จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ปวช. หรือต่ำกว่า ในด้านการทำงาน 55% เป็นแรงงานนอกระบบ และ 31% เป็นแรงงานในระบบ ที่เหลือเป็นนักเรียน นักศึกษา ทำงานบ้าน หางานทำ และพักผ่อน

ผลการสำรวจความพึงพอใจในชีวิตตั้งแต่ระดับ 0 ต่ำที่สุด ไปถึง 10 สูงที่สุด (คะแนน 0 หมายถึง ไม่วิตกกังวลเลย และ 10 วิตกกังวลมากที่สุด) พบว่า โดยภาพรวมกลุ่มตัวอย่างค่อนข้างพึงพอใจในชีวิตตนเอง ซึ่งมีค่าเฉลี่ยของทุกพื้นที่เท่ากับ 7.3 อีกทั้งตัวอย่างส่วนใหญ่ไม่ค่อยวิตกกังวลกับชีวิตมากนักโดยมีคะแนนความวิตกกังวลเฉลี่ย 3.9 แต่เมื่อสอบถามความพึงพอใจในสถานการณ์การเงินของครอบครัวเฉลี่ย 5.4 เท่านั้น โดยตัวอย่างในภาคเหนือพึงพอใจด้านการเงินต่ำที่สุดเฉลี่ยเท่ากับ 5.1 ในช่วงที่สัมภาษณ์ 

เมื่อถามว่าโควิด-19 ทำให้เขาวิตกกังวลระดับใด พบว่าส่วนใหญ่วิตกกังวลเฉลี่ย 6.3 โดยที่ตัวอย่างในภาคตะวันออกเฉียงเหนือวิตกกังวลสูงที่สุด และเมื่อจำแนกตาม กลุ่มอายุ พบว่า กลุ่ม Gen Y (24-39 ปี) และ Gen X (40-55 ปี) วิตกกังวลมากกว่ากลุ่มที่อายุเกิน 55 ปี เป็นไปได้ว่า กลุ่มเหล่านี้ กังวลในเรื่องการขาดรายได้ การขาดอิสระกับชีวิตนอกบ้าน และกังวลกับการนำเชื้อโรคไปสู่ผู้สูงอายุที่บ้าน แต่วัยสูงอายุซึ่งปกติไม่ค่อยได้ไปไหน โควิด-19 จึงไม่ได้ทำให้ชีวิตประจำวันเปลี่ยนไปมากนัก

ความสุขของคนมีกับคนไม่มี

กลุ่มที่มีความวิตกกังวลกับสถานการณ์โควิด-19 สูงกว่ากลุ่มอื่นอย่างชัดเจน มีสองกลุ่มที่มีลักษณะทางเศรษฐกิจที่ตรงกันข้ามกัน กลุ่มแรกเป็นกลุ่มรายได้น้อยที่ประเมินตนเองว่าครอบครัวตนอยู่ในกลุ่มรายได้ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน สถานการณ์โควิด-19 ทำให้เขาวิตกกังวลมากขึ้นเป็นคะแนนเฉลี่ย 7.3 

กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มรายได้สูงที่สุด ดูจากการประเมินว่าครอบครัวตนเองอยู่ใน 10% ที่รวยที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับคนทั้งประเทศ โควิด-19 ทำให้เขาวิตกกังวลมากขึ้นเป็นคะแนนเฉลี่ย 8.1 

ความรู้สึกวิตกกังวลของกลุ่มแรกน่าจะเกี่ยวข้องกับรายได้ เดิมที่จนอยู่แล้ว ชักหน้าไม่ถึงหลัง ต้องเผชิญกับการทำมาหากินยากขึ้น ยิ่งทำให้ลำบากมากขึ้นไปอีก ส่วนกลุ่มที่สองน่าจะกังวลกับโรคอุบัติใหม่ที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ยาที่รักษามีประสิทธิผลไม่แน่นอน มีการรักษาตามอาการ มีการแพร่เชื้อง่ายและเร็ว การลดความเสี่ยงแบบที่ใช้เงินซื้อไม่ได้ เป็นสิ่งที่คนมีฐานะร่ำรวยไม่คุ้นเคยนัก 

แม้ว่าตัวอย่างที่ประเมินว่าตนมีฐานะดีระดับต้นๆ ของประเทศ จะวิตกกังวลกับสถานการณ์โควิด-19 สูง แต่อารมณ์ความรู้สึกมีความสุขโดยรวมของเขาเหล่านี้ก็สูงด้วยเมื่อเทียบกับตัวอย่างที่ประเมินว่าตนเองจนกว่าผู้อื่น ค่าเฉลี่ยของอารมณ์มีความสุขของคนที่ประเมินว่าตนเองร่ำรวยคือ 8.5 แต่ค่าเฉลี่ยของคนที่ประเมินว่าตนเองอยู่ในกลุ่มที่จนที่สุดในประเทศคือ 6.6 

ถ้าอยากมีความสุข ลองประเมินว่าตนเองรวยที่สุด ความรู้สึกมีความสุขจะเกิดขึ้นเอง

Gen Y ชอบทำทานมากกว่าทำบุญ 

โดยปกติเราจะเห็นว่าคนรุ่นพ่อแม่เป็นผู้คัดสรรว่าจะส่งต่อคุณค่าทางสังคม ความเชื่อ ความรู้ และการปฏิบัติใดบ้างไปยังลูกหลาน ผลการสำรวจจะช่วยสะท้อนว่าการเป็นสื่อกลางของคนรุ่นพ่อแม่ (โดยเฉพาะ รุ่น Baby boom) สามารถส่งต่อเรื่องใดบ้างไปยังลูกหลาน (โดยเฉพาะรุ่น Gen X และ Gen Y) 

บรรทัดฐานทางสังคมที่อยู่คู่ครอบครัวไทยและการส่งต่อได้สำเร็จจากรุ่นสู่รุ่นคือ เรื่องลูกหลานต้องมีความกตัญญูและทำหน้าที่ดูแลพ่อแม่และผู้สูงอายุในครอบครัว 95% ของรุ่น Baby boom เห็นว่าลูกหลานต้องกตัญญู และระดับความเห็นด้วยยังสูงมาถึงรุ่นหลัง คือรุ่น Gen X 90% และรุ่น Gen Y 82% ดังนั้น จึงไม่แปลกอะไรที่ในช่วงโควิด-19 คนจำนวนมากให้ความร่วมมือป้องกันอย่างเข้มแข็งเพราะเป็นห่วงพ่อแม่และผู้สูงอายุที่บ้านจะเจ็บป่วย ซึ่งตรงข้ามกับสังคมตะวันตก 

เมื่อลองเหลือบดูการโพสต์ข้อความในทวิตเตอร์พบข่าวการถกเถียงในสหรัฐอเมริกาว่า ถ้ามีผู้สูงอายุตายจากโควิด ลูกหลานบางคนดีใจว่าจะได้ย้ายจากห้องใต้ดิน (ไม่มีแสงแดดและหนาว) ขึ้นไปอยู่ชั้นบนของบ้าน

แต่สิ่งที่รุ่นพ่อแม่มีอิทธิพลน้อยลงต่อความคิดของลูกหลานคือ ความเชื่อเรื่องบาปบุญที่ส่งต่อระหว่างชาตินี้ชาติหน้า รุ่น Baby boom เพียง 15-18% ไม่เห็นด้วยว่าคนที่เกิดมามีร่างกายและจิตใจสมบูรณ์ หรือว่าร่ำรวยในชาตินี้เพราะชาติที่แล้วทำบุญไว้มาก ความไม่เห็นด้วยสูงขึ้นสำหรับคนรุ่นหลัง รุ่น Gen X ไม่เห็นด้วย 19-25% รุ่น Gen Y ไม่เห็นด้วย 28-31% แต่อย่างไรก็ดี คนทุกรุ่นก็ยังชอบทำบุญ ทำทาน เพราะเห็นว่าทำแล้วรู้สึกสบายใจดี 

ที่สำคัญคือ คนรุ่น Gen Y ชอบทำทานให้คน มากกว่าทำบุญให้แก่ศาสนาที่ตนนับถือ 

แม้แต่เรื่องพิธีกรรมที่รุ่น Baby boom ทำตามกันมาถึงปัจจุบัน คนรุ่น Gen Y ก็เห็นด้วยน้อยลงอย่างชัดเจน ซึ่งนอกจาก งานแต่ง งานบวช และงานศพแล้ว 25% ของคนรุ่น Gen Y ไม่เคยร่วมกิจกรรมทางศาสนาอย่างอื่นๆ เลยในปีที่ผ่านมา และอีก 39% เคยร่วมบ้างบางครั้ง 

ชีวิตความเป็นอยู่ในครอบครัวที่เปลี่ยนไปทำให้คนยอมรับการเป็นครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวมากขึ้น คนรุ่น Gen X และ Gen Y เริ่มชินและรับได้กับการที่ผู้หญิงสามารถเป็นได้ทั้งพ่อและแม่ โดยไม่จำเป็นต้องแต่งงานหรือมีสามี ประมาณ 30% ของคนรุ่น Baby boom ไม่เห็นด้วยกับการหย่า ถ้าอยู่ด้วยกันไม่มีความสุข คนรุ่นนี้เห็นว่าให้อดทนต่อไป 

Gen Y ไม่ไว้วางใจรัฐ

คนสามรุ่นนี้มีความชอบที่ห่างกันเรื่อยๆ ในเรื่องความเชื่อเรื่องบาปบุญ และการใช้ชีวิตครอบครัว ซึ่งน่าจะมีผลไปถึงความชอบนโยบายสาธารณะที่มากระทบชีวิตความเป็นอยู่ของเขาด้วย 

รุ่น Baby boom เห็นด้วยถ้าหากจะต้องเสียภาษีเพิ่ม เพื่อให้รัฐจัดสวัสดิการที่สร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิต ได้แก่เรื่องประกันสุขภาพ และบำนาญที่เพียงพอกับการยังชีพ ซึ่งคงไม่แน่แปลกใจเพราะคนรุ่นนี้มีสุขภาพและรายได้แย่ลงตามวัย 

ส่วนคนรุ่น Gen Y ไม่ค่อยไว้วางใจรัฐในการดำเนินนโยบายสาธารณะสักเท่าไร Gen Y 40% ไม่เห็นด้วยที่ต้องเสียภาษีเพื่อเอาเงินไปใช้จ่ายเพื่อป้องกันประเทศ อีก 31% รู้สึกเฉยๆ อยากทำก็ทำไป คน Gen Y 50% ไม่คิดว่าว่ารัฐจะเข้ามาช่วยเหลือเขาให้ยังชีพอยู่ได้ ถ้าบังเอิญโชคร้ายจนถึงขั้นลำบากยากจน 

รุ่น Gen X มากถึง 60% คิดว่าถ้าตกงานไม่มีงานทำ เขาจะมีเงินออมไม่เพียงพอสำหรับการจับจ่ายใช้สอยจนกว่าจะได้งานใหม่ 47% คิดว่าเมื่อเกษียณจะมีเงินไม่พอยังชีพ รุ่นนี้จึงอยากให้รัฐมีนโยบายช่วยเหลือให้ความรู้ในการประกอบอาชีพ 

นโยบายที่ทุกรุ่นไว้วางใจรัฐและเห็นด้วยว่ารัฐควรทำคือ การสร้างและจัดบริการห้องสมุดดี ๆ มีคุณภาพให้เด็ก ๆ ได้ใช้ แต่น่าเสียดายที่รัฐไม่ค่อยอยากทำเรื่องนี้สักเท่าไรนัก

แม้ว่าเรามักได้ยินผู้คนบ่นเรื่องคุณภาพการศึกษาของไทย แต่การสำรวจพบว่า เกินกว่า 75% ของทุกรุ่นเห็นว่าคุณภาพการศึกษารุ่นตนดีกว่ารุ่นพ่อแม่ และ 80% เห็นว่าคุณภาพการศึกษาของรุ่นลูกจะดีกว่ารุ่นปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี นี่เป็นการเปรียบเทียบคุณภาพการศึกษาในประเทศเราเอง เราจึงพบว่าคุณภาพดีขึ้น แต่ถ้าเราเปรียบเทียบกับประเทศอื่น เราจะเห็นผู้คนไม่ค่อยพอใจคุณภาพการศึกษาไทย โดยเฉพาะเมื่อทรัพยากรที่ลงไปเพื่อการศึกษามีจำนวนสูงขึ้นมาก 

Gen Y ไม่พอใจผลการทำงานของรัฐ

กลุ่มคนไทยที่ถูกสำรวจไม่สนใจเรื่องการเมืองประมาณ 25% แต่ในสถานการณ์การเมืองแบบปัจจุบัน Gen Y รู้สึกไม่สามารถแสดงความคิดเห็นทางการเมืองได้อย่างเสรี (34%) กลุ่มนี้ไม่ชอบการทำงานของราชการสูงกว่าคนรุ่นอื่นในเกือบทุกเรื่อง 

Gen Y 15% เห็นว่าชีวิตไม่มีทางเลือกในด้านการเลือกอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่สะอาดปลอดภัย Gen Y 20% ไม่เรื่องชอบการจัดการขยะ Gen Y 22% และ Gen X 20% ผู้ซึ่งชอบเดินทางไปมานอกบ้าน ไม่ไว้วางใจในความปลอดภัยในละแวกบ้าน ไม่สามารถเดินคนเดียวตอนกลางคืนได้อย่างปลอดภัย

ในขณะที่คนรุ่น Baby boom เดินทางไม่บ่อยเท่ารุ่น Gen Y และ Gen X เขาหวาดกลัวกับ อุบัติเหตุ 21% อาชญากรรม 24% และปัญหาการก่อการร้าย 29% และ 17% เห็นว่ามลพิษทางอากาศเป็นภัยต่อชีวิต

Gen Y คุ้นเคยกับการโกง

สิ่งที่น่าเป็นห่วงในอนาคตคือ การประพฤติปฏิบัติของ Gen Y และ Gen X ที่เกี่ยวข้องกับสามัญสำนึกพื้นฐานด้านการโกง คือ การลอกการบ้านและข้อสอบ และการให้สินบน

Gen Y 28% และ Gen X 21% เคยลอกการบ้านเพื่อนเป็นประจำ และ Gen Y อีก 56% Gen X อีก 51% ลอกการบ้านเพื่อนเป็นบางครั้ง คนเหล่านี้แบ่งปันกันระหว่างเพื่อนโดย Gen Y 31% และ Gen X 21% เคยให้เพื่อนลอกการบ้านเป็นประจำและอีกประมาณ 50-54% ของทั้งสองรุ่นเคยให้เพื่อนลอกการบ้านเป็นบางครั้ง

ดูเหมือนว่า คนส่วนใหญ่ของทั้งสองรุ่นเคยลอกหรือเคยให้เพื่อนลอกการบ้าน และที่ยิ่งหย่อนไม่น้อยกว่ากันคือ การลอกและให้ลอกข้อสอบ

Gen Y 15% ลอกข้อสอบเพื่อนเป็นประจำ 35% ลอกข้อสอบเพื่อนเป็นบางครั้ง 16% ให้เพื่อนลอกข้อสอบเป็นประจำ 38% ให้เพื่อนลอกข้อสอบเป็นบางครั้ง มีไม่ถึงครึ่งของ Gen Y ที่ไม่เคยให้เพื่อนลอกข้อสอบเลย

นอกจาก ทุจริตเรื่องการสอบแล้ว ประมาณ 22% ของ Gen X และ Gen Y เคยจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่รัฐเพื่อให้อำนวยความสะดวกในการติดต่อราชการ และ Gen Y ถึง 9% จ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่รัฐเป็นประจำ

คนไทย 4.0 ในอนาคตจะมีแนวโน้มยึดถือพิธีกรรมน้อยลง การช่วยเหลือคนยากลำบากจะจัดการกันเองมากกว่าเอาเงินให้วัดไปจัดการให้ คนรุ่น Gen Y ไม่ค่อยรู้สึกว่านโยบายที่รัฐทำให้คุ้มกับภาษีที่จ่าย แต่ Gen X และรุ่น Baby boom อย่างน้อยได้ประโยชน์แล้วจากนโยบายการรักษาพยาบาลฟรี และคิดว่ารัฐช่วยเหลือได้ในเรื่องการประกอบอาชีพ ความหวังในชีวิตของคนรุ่น Gen Y ไม่สดใสนัก พวกเขามั่นใจน้อยลงว่าจะมีอาชีพที่ดีกว่ารุ่นพ่อแม่ พวกเขาไม่พอใจมากขึ้นกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาเสรีภาพในการแสดงความเห็นทางการเมือง ปัญหาความปลอดภัยในการออกนอกบ้านยามกลางคืน สถาบันที่ Gen Y ยังคงยึดถือไม่ต่างจากรุ่นก่อนหน้าคือ สถาบันครอบครัว แต่ที่ต่างคือการให้คุณค่ากับบทบาทของคนในครอบครัว


รศ.ดร. วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ อาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ปรึกษา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย


ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

True IDC ทุ่มหมื่นล้านลงทุนธุรกิจ Data Center ตอบโจทย์บิ๊กเทค และยุคของ AI

บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้าเซ็นเตอร์ จำกัด หรือ ทรู ไอดีซี (True IDC) ผู้นำการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์และระบบคลาวด์ของประเทศไทยลงทุนเพิ่มกว่า 10,000 ล้านบาท ในการขยายศักยภาพธุรกิจ...

Responsive image

อินโดรามา เวนเจอร์ส ระดมทุน 500 ล้านดอลลาร์ ผ่าน Syndicated Loan จาก HSBC และ Standard Chartered เตรียมลุยกลยุทธ์ IVL 2.0

บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) บริษัทเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ประกาศความสำเร็จในการทำสัญญาสินเชื่อเงินกู้ร่วม (Syndicated Loan) มูลค่า 500 ล้านเ...

Responsive image

ETDA จัดงานใหญ่ DGT2024 ดึง 120 องค์กรชั้นนำถ่ายทอดโซลูชั่น ตอบโจทย์ SMEs

ETDA ดึงกว่า 120 องค์กรชั้นนำ จัดงานใหญ่ DGT2024 แลนด์มาร์คคนรุ่นใหม่ จัดเต็ม! โซลูชั่น ตอบโจทย์ SMEs เพื่อคนดิจิทัล 29-30 พ.ค.นี้ ที่พารากอน ฮอลล...